ธรรมของมิตร [คุณชาดก]

 
Khaeota
วันที่  19 มิ.ย. 2553
หมายเลข  16534
อ่าน  1,473

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้าที่ 48

ข้อความตอนหนึ่งจาก...

คุณชาดก_1

(ว่าด้วยธรรมของมิตร)

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี

พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นราชสีห์ อาศัยอยู่ในถ้ำเขา. วันหนึ่งราชสีห์นั้น

ออกจากถ้ำยืนอยู่บนยอดเขามองดูเชิงเขา. ได้มีสระใหญ่ล้อมรอบเชิงเขานั้น. ในที่ดอนแห่งหนึ่งของสระนั้น มีหญ้าเขียวอ่อนเกิดขึ้นบนหลังเปือกตมอันแห้ง. จำพวกเนื้อเล็กๆ เป็นต้นว่า กระต่าย แมว และสุนัขจิ้งจอกเที่ยวและเล็มหญ้า เหล่านั้นบนหลังเปือกตมแห้ง. แม้ในวันนั้น เนื้อตัวหนึ่งก็เที่ยวและเล็มหญ้านั้น. ราชสีห์คิดว่า “จักจับเนื้อนั้นกินเสีย” จึงกระโดดลงจากยอดเขา วิ่งไปด้วยกำลัง ของราชสีห์. เนื้อกลัวตายส่งเสียงร้องหนีไป. ราชสีห์ไม่สามารถยั้งความเร็ว ไว้ได้ จึงตกจมลงไปเหนือเปือกตมแห้ง ไม่สามารถจะขึ้นได้.ได้ยืนปักเท้าทั้งสี่ เหมือนเสา อดอาหารอยู่เจ็ดวัน. ลำดับนั้น สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่ง เที่ยวหาอาหาร ครั้นเห็นราชสีห์นั้นเข้า จึงหนีไปด้วยความกลัว. ราชสีห์เห็นสุนัขจิ้งจอก จึงร้องเรียกแล้ว พูดว่า “พ่อมหาจำเริญสุนัขจิ้งจอกอย่าหนีเลย ข้าพเจ้าติดหล่ม ช่วยข้าพเจ้าด้วยเถิด”. สุนัขจิ้งจอก จึงวิ่งเข้าไปหาราชสีห์แล้วพูดว่า “ข้าพเจ้าจะช่วยยกท่านขึ้น แต่เมื่อ ข้าพเจ้า ยกท่านขึ้นมาแล้ว ข้าพเจ้าเกรงว่าท่านจะกินข้าพเจ้าเสียนะซิ”. ราชสีห์พูดว่า “อย่ากลัวเลย ข้าพเจ้าจะไม่กินท่านหรอก แต่ข้าพเจ้า จัก สนองคุณท่าน ท่านจงหาทางยกข้าพเจ้าขึ้นเถิด”. สุนัขจิ้งจอกรับคำปฏิญญา ของราชสีห์แล้ว จึงตะกุยเลนรอบเท้าทั้งสี่ ขุดเป็นลำรางสี่ตอนของเท้าทั้ง สี่แล้วทำให้น้ำไหลเข้าไป. น้ำไหลเข้าไปทำให้เลนอ่อน. ขณะนั้น สุนัข จิ้งจอกจึงเข้าไประหว่างท้องของราชสีห์ ร้องบอกว่า “พยายามเถิดนาย” แล้วเอาศีรษะดุนท้อง. ราชสีห์ออกกำลังโดดขึ้นจากหล่มวิ่งไปยืนอยู่บนบก.

  ความคิดเห็นที่ 1  
 
Khaeota
วันที่ 19 มิ.ย. 2553

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้าที่ 48

ข้อความตอนหนึ่งจาก...

คุณชาดก_2

(ว่าด้วยธรรมของมิตร)

ราชสีห์พักอยู่ครู่หนึ่ง จึงลงไปสู่สระ อาบน้ำชำระโคลนตม เมื่อหายเหนื่อยแล้ว จึงฆ่าควายได้ตัวหนึ่ง จึงเอาเขี้ยวฉีกเนื้อวางไว้ข้างหน้าสุนัขจิ้งจอก พร้อมกับพูดว่า “กินเสียเถิดสหาย” เมื่อสุนัขจิ้งจอกกินแล้ว ตัวจึงกินภายหลัง. สุนัขจิ้งจอกกัดชิ้นเนื้อชิ้นหนึ่งคายไว้. ราชสีห์ถามว่า “ทำดังนี้เพื่อประสงค์อะไรสหาย”. สุนัขจิ้งจอกตอบว่า “ทาสีของข้าพเจ้ายังมีอยู่ ชิ้นนี้ จักเป็นส่วนของเธอ”. ราชสีห์กล่าวว่า“เอาไปเถิด” แม้ตนเองก็คาบเนื้อไปเพื่อนางราชสีห์ แล้วกล่าวว่า “มาเถิดสหาย เราจักไปบนยอดเขา ไปยังที่อยู่ของนางสหายของเรา” แล้วพากันไป ณ ที่นั้น ให้นางราชสีห์กินเนื้อ แล้วปลอบสุนัขจิ้งจอก และนางสุนัขจิ้งจอกว่า “ตั้งแต่นี้ไป เราจักปฏิบัติต่อท่าน” แล้วนำไปยังที่อยู่ของตน ให้สุนัขจิ้งจอกสองผัวเมียอยู่ในถ้ำอีกถ้ำหนึ่ง ใกล้ประตูถ้ำ. ตั้งแต่นั้นมา เมื่อราชสีห์ไปหาอาหาร ก็ให้นางราชสีห์และนางสุนัขจิ้งจอกอยู่เฝ้าถ้ำ ตนเองไปกับสุนัขจิ้งจอกฆ่าเนื้อต่างชนิด ทั้งสองสหายกินเนื้อด้วยกัน ณ ที่นั้น แล้วนำมาให้นางราชสีห์ และนางสุนัขจิ้งจอก. เมื่อกาลเวลาผ่านไป นางราชสีห์คลอดลูกออกสองตัว. แม้นางสุนัขจิ้งจอก ก็คลอดลูกออกสองตัวเหมือนกัน. สัตว์เหล่านั้นทั้งหมด อยู่กลมเกลียวกันเป็นอย่างดี. อยู่มาวันหนึ่ง นางราชสีห์ได้เฉลียวใจว่า “ราชสีห์นี้ ดูรักนางสุนัขจิ้งจอกและลูกสุนัขจิ้งจอกเสียเหลือเกิน สงสัยราชสีห์นี้ จะมีการเชยชมกับนางสุนัขจิ้งจอกก็เป็นได้ จึงรักกันถึงอย่างนี้” ถ้ากระไรเราจะเบียดเบียน คุกคาม ให้สุนัขจิ้งจอกหนีไปจากที่นี้ให้ได้. ครั้นถึงเวลาที่ราชสีห์พาสุนัขจิ้งจอกไปหาอาหาร นางราชสีห์จึงเบียดเบียนคุกคามนางสุนัขจิ้งจอก ว่า “ทำไมเจ้าจึงอยู่ในที่นี้ไม่หนีไปเสีย”. แม้ลูกๆ ของนางราชสีห์ ก็คุกคามลูกๆ ของนางสุนัขจิ้งจอกเหมือนกัน นางสุนัขจิ้งจอก จึงบอกเรื่องนั้นแก่สุนัขจิ้งจอกแล้วกล่าวว่า “เรารู้ไม่ได้ว่า นางราชสีห์นี้ได้ทำตามคำ ของราชสีห์ เราอยู่มานานแล้ว เรากลับไปที่อยู่ของเราเถิด”.

สุนัขจิ้งจอกฟังคำของนางสุนัขจิ้งจอก จึงเข้าไปหาราชสีห์ กล่าวว่า “นายเราอยู่ในสำนักของท่านมานานแล้ว ธรรมดาผู้ที่อยู่นานๆ นัก ย่อมไม่เป็นที่พอใจ ในเวลาที่เราออกไปหาอาหารกัน นางราชสีห์เบียดเบียนขู่นางสุนัขจิ้งจอกว่า ทำไมเจ้าจึงอยู่ในที่นี้ ไม่หนีไปเสีย แม้ลูกราชสีห์ก็คุกคามลูกสุนัขจิ้งจอก ผู้ใด ไม่ชอบให้ผู้ใดอยู่ในสำนักตน ผู้นั้นพึงขับไล่เขาว่าจงไปเสียดีกว่า รบกวนกันมีประโยชน์อะไร” แล้วกล่าวคาถาแรกว่า “ผู้เป็นใหญ่ ย่อมขับไล่ผู้น้อยได้ ตามความ- ต้องการของตน นี่ เป็นธรรมดาของผู้มีกำลัง นางมฤคี (นางราชสีห์) ผู้มีฟันคมแหลมของท่าน

ได้คุกคามบุตรภรรยาของเรา ขอท่านจงทราบเถิด ภัยเกิด แต่ที่พึ่งแล้ว”.

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
Khaeota
วันที่ 19 มิ.ย. 2553

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้าที่ 48

ข้อความตอนหนึ่งจาก...

คุณชาดก_3

(ว่าด้วยธรรมของมิตร)

ราชสีห์ได้ฟังคำของนางสุนัขจิ้งจอกแล้ว จึงกล่าวกะนางราชสีห์ว่า“นี่แน่ะน้องเมื่อครั้งกระโน้น เจ้ายังระลึกได้ไหมว่าเราไปหาอาหาร พอถึงวันที่เจ็ด ก็ได้มากับสุนัขจิ้งจอกและนางสุนัขจิ้งจอกนี้”. นางราชสีห์กล่าวว่า “จำได้จ้ะ”. แล้วราชสีห์ถามว่า “เจ้ารู้ถึงเหตุที่เรามิได้มาตลอด ๗ วันหรือ”. นางราชสีห์กล่าวว่า “ไม่รู้จ้ะ”. ราชสีห์กล่าวว่า “นี้แน่น้อง เราไปด้วยตั้งใจว่า จักจับเนื้อสักตัวหนึ่งแล้วพลาดลงไปติดหล่ม ไม่อาจจะขึ้นมาได้ จากนั้นได้ยืนอดอาหารอยู่ ๗ วัน เรารอดชีวิตมาได้ เพราะอาศัยสุนัขจิ้งจอกนี้ สุนัขจิ้งจอกนี้เป็นสหายผู้ช่วยชีวิตเรา จริงอยู่ผู้สามารถจะตั้งอยู่ในธรรมของมิตร ชื่อว่ามีกำลังน้อยไม่มีเลย ตั้งแต่นี้ไป เจ้าอย่าได้ดูหมิ่น สหายของเรา พร้อมทั้งนางสุนัขจิ้งจอกและลูกน้อย อีกเลย” แล้วราชสีห์ จึงกล่าว คาถาที่สองว่า “ถ้าผู้ใด เป็นมิตร แม้จะมีกำลังน้อย

แต่ตั้งอยู่ในมิตรธรรม ผู้นั้น ชื่อว่าเป็นญาติ

เป็นเผ่าพันธุ์ เป็นมิตรและเป็นสหาย ของเรา

แนะนางมฤคี ท่านอย่าดูหมิ่นสหายของเราอีกนะ

เพราะว่า สุนัขจิ้งจอกตัวนี้ให้ชีวิตเรา”.
นางราชสีห์ ฟังคำของราชสีห์แล้ว จึงขอโทษสุนัขจิ้งจอก. ตั้งแต่นั้นมาก็อยู่กลมเกลียวกัน กับนางสุนัขจิ้งจอกนั้นพร้อมทั้งลูก. แม้ลูกราชสีห์ก็เล่นหัวกับลูกสุนัขจิ้งจอก แม้เมื่อพ่อแม่ซึ่งชื่นชอบกันได้ล่วงลับไปแล้ว ก็ไม่ทำลายความเป็นมิตรต่อกัน อยู่กันอย่างรื่นเริงบันเทิงใจ. นัยว่า ไมตรีของสัตว์เหล่านั้นมิได้แตกทำลายได้ เป็นไปชั่วเจ็ดตระกูล.

พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มา แล้วทรงประกาศอริยสัจ ทรงประชุมชาดก. ในเมื่อจบอริยสัจ ภิกษุบางพวกได้เป็นโสดาบัน บางพวกได้เป็นสกทาคามี บางพวกเป็นพระอนาคามี บางพวกได้เป็นพระอรหันต์. สุนัขจิ้งจอกในครั้งนั้นได้เป็นอานนท์. ส่วนราชสีห์ได้เป็นเราตถาคต.
 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
jaturong
วันที่ 25 เม.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ