ขอให้มาตุคามพึงได้การออกบวชเป็นบรรพชิต [โคตมีสูตร]
[เล่มที่ 37] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้าที่ 540
วรรคที่ไม่ได้สงเคราะห์เข้าในปัณณาสก์
สันธานวรรคที่ ๑
๑. โคตมีสูตร
[๑๔๑] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ นิโครธาราม ใกล้ กรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ ครั้งนั้นแล พระนางมหาปชาบดีโคตมีเสด็จเข้าไป เฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับทรงถวายบังคมแล้ว ประทับยืน ณ ที่ควร ส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานวโรกาส ขอให้มาตุคามพึงได้การออกบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัย ที่พระตถาคตทรงประกาศแล้วเถิด พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ดูก่อนพระนางโคตมี อย่าเลย พระนางอย่าชอบใจการออกบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยที่ ตถาคตประกาศแล้วของมาตุคามเลย แม้ครั้งที่ ๒ พระนางปชาบดีโคตมีก็ กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าอีกว่า ข้าแต่พระองค์เจริญ ขอประทานวโรกาส ขอให้มาตุคามพึงได้การออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่พระตถาคตทรง ประกาศแล้วเถิด พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนพระนางโคตมี อย่าเลย พระนาง อย่าชอบใจการออกบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว ของมาตุคามเลย
สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้าที่ 541
แม้ครั้งที่ ๓ พระนางปชาบดีโคตมีก็กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าอีกว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานวโรกาส ขอให้มาตคามพึงได้การออกบวช เป็นบรรพชิตในธรรมวินัย ที่พระตถาคตทรงประกาศแล้วเถิด พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนพระนางโคตมี อย่าเลย พระนางอย่าชอบใจการออกบวช เป็นบรรพชิตในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้วของมาตุคามเลย. ลำดับนั้น พระนางมหาปชาบดีโคตมีทรงพระดำริว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่ทรงอนุญาตให้มาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยที่พระตถาคตทรง ประกาศแล้ว เป็นผู้มีทุกข์ เสียพระทัย มีพระพักตร์นองด้วยน้ำพระเนตร ทรงกันแสงอยู่ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงกระทำประทักษิณแล้ว เสด็จหลีกไป
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ อยู่ในกรุงกบิลพัสดุ์ตามพระ ประสงค์แล้วเสด็จจาริกไปทางพรพะนครเวสาลี เมื่อเสด็จจาริกไปโดยลำดับ เสด็จไปถึงพระนครเวสาลี ได้ยินว่า ณ ที่นั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน ใกล้พระนครเวสาลี ครั้งนั้น พระนางปชาบดีโคตมี ทรงปลงพระเกสาแล้ว ทรงครองผ้ากาสาวพัสตร์ เสด็จไปทางพระนครเวสาลี พร้อมกับ เจ้าหญิงสากิยะหลายพระองค์ เสด็จเข้าไปยัง กูฏาคารศาลาป่า มหาวัน ใกล้พระนครเวสาลีโดยลำดับ พระนางปชาบดีโคตมีทรงมีพระบาท ระบม มีพระกายเต็มด้วยละออง มีทุกข์ เสียพระทัย พระพักตร์นองด้วยน้ำ พระเนตร ทรงกันแสงอยู่ ประทับยืนอยู่ ณ ซุ้มประตูด้านนอก ท่านพระ อานนท์ได้แลเห็นพระนางปชาบดีโคตมีทรงมีพระบาทระบม
[เล่มที่ 37] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้าที่ 542
ท่านพระ อานนท์ได้แลเห็นพระนางปชาบดีโคตมีทรงมีพระบาทระบม มีพระกายเต็มด้วยละออง มีทุกข์ เสียพระทัย มีพระพักตร์นองด้วยน้ำพระเนตร ทรงกันแสง ประทับยืน อยู่ ณ ซุ้มประตูด้านนอก ครั้นเห็นแล้ว จึงกล่าวความข้อนี้กะพระนางว่า ดูก่อนพระนางโคตมี เพราะเหตุอะไรหนอ พระนาง จึงมีพระบาทระบม มีพระกายเต็มด้วยละออง มีทุกข์ เสียพระทัยมีพระพักตร์นอง ด้วยน้ำพระเนตร ทรงกันแสง ประทับยืนอยู่ ณ ซุ้มประตูด้านนอก พระนางมหาปชาบดีโคตมีตรัสตอบว่า ข้าแต่ท่านพระอานนท์ ความจริงก็เป็นเช่นนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้มาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่พระตถาคต ทรงประกาศแล้ว ท่านพระอานนท์ก็กล่าวว่า ถ้าอย่างนั้นขอเชิญพระนางรออยู่ที่นี้แหละ ตราบเท่าที่อาตมภาพทูลขอ พระผู้มีพระภาคเจ้าให้มาตุคามออกบวชเป็น บรรพชิตในธรรมวินัยนี้
ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้า แต่พระองค์ผู้เจริญ พระนางมหาปชาบดีโคตมีนี้ ทรงมีพระบาทระบม มีพระกายเต็ม ด้วยละอองมีทุกข์ เสียพระทัย มีพระพักตร์นองด้วยน้ำพระเนตร ทรงกันแสง ประทับ ยืนอยู่ ณ ซุ้มประตูด้านนอก เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้มาตุคาม ออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่พระตถาคตทรงประกาศแล้ว ข้าแต่พระองค์ผู้ เจริญ ขอประทานวโรกาส ขอให้มาตุคามพึงได้ออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัย ที่พระตถาคตทรงประกาศแล้วเถิด พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ดูก่อนอานนท์ อย่าเลย เธออย่าชอบใจให้มาตุคามออกบวชเป็น บรรพชิตในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้วเลย
แม้ครั้งที่ ๒ ฯลฯ
แม้ครั้งที่ ๓ ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานวโรกาส ขอให้มาตุคามพึงออกบวชเป็น บรรพชิต ในธรรม วินัยที่พระตถาคตทรงประกาศแล้วเถิด พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ อย่าเลย เธออย่าชอบใจให้มาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่ตถาคต ประกาศแล้วเลย
ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์ได้มีความคิดดังนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้มาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่พระตถาคตทรงประกาศแล้ว ผิฉะนั้น เราพึงทูลขอพระผู้มีพระภาคเจ้าให้มาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรม วินัยที่ พระตถาคตทรงประกาศแล้วโดยปริยายแม้อื่น ลำดับนั้นท่านพระอานนท์ ตรัสทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่พระตถาคตทรงประกาศแล้ว ควรจะทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล หรืออรหัตตผลได้หรือไม่ พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ มาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยที่ ตถาคตประกาศแล้ว ควรทำให้แจ้งแม้โสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล อรหัตตผลได้
อานนท์ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้ามาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่พระตถาคตทรงประกาศแล้ว ทำให้แจ้งแม้โสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล อรหัตตผลได้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระนางปชาบดีโคตมีทรงมีอุปการะมาก เป็น พระมาตุจฉาของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทะนุถนอมเลี้ยงดูให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดื่มน้ำนม ในเมื่อพระชนนีทิวงคตแล้ว ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานวโรกาส ขอให้มาตุคามพึงได้ออกบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยที่พระตถาคตทรง ประกาศแล้วเถิด.
พ. ดูก่อนอานนท์ ถ้าพระนางมหาปชาบดีโคตมี ทรงรับครุธรรม ๘ ประการ นั่นแหละ เป็นอุปสมบทของพระนาง คือ ภิกษุณี แม้อุปสมบทแล้ว ๑๐๐ ปี พึง ทำการกราบไหว้ ลุกรับ ทำอัญชลีกรรม สามีจิกรรม แก่ภิกษุแม้อุปสมบทในวัน นั้น แม้ธรรมข้อนี้ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่พึงก้าวล่วงตลอดชีวิต. ภิกษุณีไม่พึงเข้าจำพรรษาในอาวาสที่ไม่มีภิกษุ แม้ธรรมข้อนี้ ภิกษุณี ต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่พึงก้าวล่วงตลอดชีวิต
ภิกษุณีต้องแสวงหาภิกษุถามถึงการทำอุโบสถ และการเข้าไปรับโอวาทจากภิกษุสงฆ์ทุกกึ่งเดือน แม้ธรรมข้อนี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพนับถือ บูชา ไม่พึง ก้าวล่วงตลอดชีวิต
ภิกษุณีอยู่จำพรรษาแล้ว ต้องปวารณาในอุภโตสงฆ์ด้วยฐานะ ๓ ประการ คือ ด้วยได้เห็น ได้ฟัง และรังเกียจ แม้ธรรม ข้อนี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่พึงก้าวล่วงตลอดชีวิต
ภิกษุณีต้องครุธรรมแล้ว พึงประพฤติมานัตปักษ์หนึ่ง ในอุภโตสงฆ์ แม้ธรรมข้อนี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือไม่พึงก้าวล่วงตลอดชีวิต
ภิกษุณีต้องแสวงหาอุปสัมปทาในอุภโตสงฆ์ เพื่อนางสิกขมานา ผู้มีสิกขาอันศึกษาแล้วในธรรม ๖ ประการ ครบ ๒ ปี แม้ธรรมข้อนี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่พึงก้าวล่วงตลอดชีวิต. ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ห้ามภิกษุณีว่ากล่าวตักเตือนภิกษุ ไม่ห้ามภิกษุว่ากล่าวตักเตือนภิกษุณี แม้ธรรมข้อนี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่พึงก้าว ล่วงตลอดชีวิต
ดูก่อนอานนท์ ถ้าพระนางมหาปชาบดีโคตมีรับครุธรรม ๘ ประการนี้ได้นั้นแลเป็นอุปสัมปทาของพระนาง
ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์เรียนครุธรรม ๘ ประการนี้ ในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว เข้าไปหาพระนางปชาบดีโคตมี แล้วกล่าวข้อด้วยความนี้กะพระนาง ว่า ดูก่อนพระนางโคตมี ถ้าแลพระนางพึงยอมรับครุธรรม ๘ ประการได้นั้นแล เป็นอุปสัมปทาของพระนาง คือ ภิกษุณีแม้อุปสมบทแล้ว ๑๐๐ ปี ต้องกระทำ การกราบไหว้ ลุกรับ อัญชลีกรรม สามีจิกรรม แก่ภิกษุแม้
อุปสมบทในวันนั้น แม้ธรรมข้อนี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่พึงก้าวล่วงตลอดชีวิต ฯลฯ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ห้ามภิกษุณีว่ากล่าวตักเตือน
ภิกษุ ไม่ห้ามภิกษุว่ากล่าวตักเตือนภิกษุณี แม้ธรรมข้อนี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชาไม่พึงก้าวล่วงตลอดชีวิต ดูก่อนพระนางโคตมี ถ้าแลพระนาง พึงยอมรับธรรม ๘ ประการนี้ได้ นั้นแลจักเป็นอุปสัมปทาของพระนาง
พระนางมหาปชาบดีโคตมีกล่าวว่า ข้าแต่ท่านพระอานนท์ หญิงหรือชายแรกรุ่นหนุ่มสาว ชอบประดับ ตกแต่ง อาบน้ำชำระร่างกายแล้ว ได้พวงดอก อุบล พวงมะลิ หรือพวงลำดวนแล้วเอามือทั้งสองประคองวางไว้บนศีรษะ ฉันใด ดิฉันก็ยอมรับครุธรรม๘ ประการนี้ ไม่ก้าวล่วงตลอดชีวิต ฉันนั้นเหมือนกัน
ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้า แต่พระองค์ผู้เจริญ พระนางมหาปชาบดีโคตมีทรงยอมรับครุธรรม ๘ ประการ ไม่ ก้าวล่วงจนตลอดชีวิต
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ หากมาตุคามจักไม่ได้ออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว พรหมจรรย์ก็ยังจะตั้งอยู่ได้นาน สัทธรรมพึงดำรงอยู่ได้ ๑,๐๐๐ ปี แต่เพราะมาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิต ใน ธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว พรหมจรรย์จะไม่ตั้งอยู่นาน ทั้งสัทธรรมก็จักดำรง อยู่เพียง ๕๐๐ ปี ดูก่อนอานนท์ ตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ที่มีหญิงมาก ชายน้อยตระกูลนั้นถูกพวกโจรกำจัดได้ง่าย แม้ฉันใด มาตุคามได้ออกบวชเป็นบรรพชิตใน ธรรมวินัยใด พรหมจรรย์ในธรรมวินัยนั้นจักไม่ตั้งอยู่นาน ฉันนั้นเหมือนกัน อนึ่ง ขยอกลงในนาข้าวที่สมบูรณ์ นาข้าวนั้นก็ย่อมไม่ตั้งอยู่นาน แม้ฉันใด เพลี้ยลง ในไร่อ้อยนั้นก็ย่อมไม่ตั้งอยู่นาน แม้ฉันใด มาตุคามได้ออกบวชเป็นบรรพชิตใน ธรรมวินัยใด พรหมจรรย์ในธรรมวินัยนั้น ย่อมไม่ตั้งอยู่นาน ฉันนั้นเหมือนกัน อนึ่ง บุรุษกั้นคันสระใหญ่ไว้ก่อน เพื่อไม่ให้น้ำไหลออก ฉันใด เราบัญญัติ ครุธรรม ๘ ประการ ไม่ให้ภิกษุณีก้าวล่วงตลอดชีวิตเสียก่อน ฉันนั้นเหมือนกัน.
จบ โคตมีสูตรที่ ๑
วรรคที่ไม่จัดเข้าในปัณณาสก์
สันธานวรรคที่ ๑
อรรถกถาโคตมีสูตรที่ ๑
วรรคที่ ๖ โคตมีสูตรที่ ๑ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า สกฺเกสุ วิหรติ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จไปประทับอยู่โดยการเสด็จครั้งแรก. บทว่า มหาปชาปตี ได้แก่ผู้ได้พระนามอย่างนี้ เพราะเป็นใหญ่ ประชาคือพระโอรส และในประชาคือพระธิดา.
บทว่า เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จไปยังกรุงกบิลพัสดุ์ให้นันทกุมารบวชก่อนทีเดียว ในวันที่ ๗ จึงให้ราหุลกุมารบวช. เมื่อชาวพระนครทั้ง ๒ ฝ่ายออกไปเพื่อเตรียมรบ ในเพราะเหตุทะเลาะกันเรื่องมงกุฎ พระศาสดาเสด็จไปทำพระเจ้าเหล่านั้นให้เข้าใจกันแล้วตรัสอัตตทัณทสูตร. เจ้าทั้งหลายทรงเลื่อมใสแล้วได้มอบถวายพระกุมารฝ่ายละ ๒๕๐ องค์. พระกุมาร ๕๐๐ องค์เหล่านั้นบวชในสำนักพระศาสดา. ลำดับนั้น พระชายาของท่านเหล่านั้นส่งข่าวไป ทำให้เกิดความไม่ยินดี (ในการ บวช) . พระศาสดาทรงทราบว่า ภิกษุเหล่านั้นเกิดความไม่ยินดี จึงนำภิกษุหนุ่ม ๕๐๐ รูปเหล่านั้นไปสู่สระชื่อว่ากุณาละ ประทับนั่งบนแผ่นหินที่ทรงเคยประทับนั่งในครั้งที่พระองค์เสวยพระชาติเป็นนกดุเหว่า. บันเทาความไม่ยินดีของภิกษุเหล่านั้นด้วยเรื่องกุณาชาดก แล้วให้ท่านทั้งหมดนั้นดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล แล้วนำกลับมาสู่ป่ามหาวันอีกครั้งหนึ่ง ให้ดำรงอยู่ในพระอรหัตตผลแล. เพื่อจะทราบจิตของภิกษุเหล่านั้น พระชายาทั้งหลายจึงส่งข่าวไปอีกครั้ง. ภิกษุเหล่านั้นส่งสานตอบไปว่าพวกเราไม่ควรอยู่ครองเรือน พระนางเหล่านั้นทรงดำริว่า บัดนี้ ไม่ควรที่พวกเราจะกลับไปยังเรือน เราจะไปสำนักพระนางมหาปชาบดีขออนุญาตบรรพชาแล้วจักบวช. ทั้ง ๕๐๐ เข้าไปเฝ้าพระนางมหาปชาบดีทูลว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า ขอพระแม่เจ้าโปรดอนุญาตให้หม่อมฉันทั้งหลายบวชเถิด. พระนางมหาปชาบดี พาสตรีเหล่านั้นไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า. อาจารย์บางพวกกล่าวว่าเข้าไปเฝ้าในเวลาที่พระราชาปรินิพพานภายในเศวตฉัตร ดังนี้ก็มี. ถามว่า เพราะเหตุไรพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงห้ามว่า อย่าเลยโคตมี ท่านอย่าชอบใจไปเลย พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ย่อมมีบริษัท ๔ มิใช่หรือ มีก็จริง แต่พระองค์มีพระประสงค์จะทำให้หนักแน่นแล้วค่อยอนุญาต จึงทรงห้ามเสีย ด้วยทรงพระดำริว่า สตรีเหล่านี้จักรักษาไว้โดยชอบซึ่งบรรพชาที่ เราถูกอ้อนวอนหลายครั้งอนุญาตให้ยากๆ ด้วยคิดว่า เราได้บรรพชามาด้วยความ ลำบาก.
บทว่า ปกฺกามิ ความว่า เสด็จเข้าไปยังกรุงกบิลพัสดุ์นั้นแหละอีกครั้ง หนึ่ง
บทว่า ยถาภิรนฺต วิหริตฺวา ความว่า ทรงตรวจดูอุปนิสัยแห่งสัตว์ผู้จะตรัสรู้ จึงประทับอยู่ตามพระอัธยาศัย
บทว่า จาริก ปกฺกามิ ความว่า เมื่อจะทรง กระทำการสงเคราะห์มหาชน จึงเสด็จจาริกแบบไม่รีบด่วนด้วยพุทธศิริอันสูงสุด ด้วย พุทธวิลาสอันหาที่เปรียบมิได้.
บทว่า สมฺพหุลาหิ สากิยานีหิ สทฺธึ ความว่า พระนางมหาปชาบดี ทรงถือเพศบรรพชาอุทิศพระทศพลภายในพระนิเวศน์นั่นเอง แล้วให้นางศากิยานีทั้ง ๕๐ นั้น ถือเพศบรรพชาเหมือนกัน แล้วเสด็จหลีกไปพร้อมกับนางศากิยานีเป็นอันมากแม้ทั้ง หมดนั้น
บทว่า ปกฺกามิ ได้แก่ทรงพระดำเนินไป. ในเวลาที่นางมหาปชาบดีนั้นทรงดำเนินไป เจ้าหญิงทั้งหลาย ผู้สุขุมาลชาติจักไม่สามารถเดินไปด้วยพระบาทได้ เพราะเหตุ นั้น เจ้าศากยะและเจ้าโกลิยะ จึงได้จัดวอทองส่งไป. ก็นางศากิยาณีเหล่านั้นคิดว่า เราเมื่อขึ้นยานไป เป็นอันชื่อว่าไม่กระทำความเคารพในพระศาสดา ดังนี้แล้วจึงได้ ใช้พระบาทดำเนินไปตลอดทาง ๕๑ โยชน์. ฝ่ายเจ้าทั้งหลายให้จัดอารักขาทั้งข้าง หน้าข้างหลัง บรรทุกข้าวสาร เนยใส และน้ำมันเป็นต้นเต็มเกวียน แล้วส่งบุรุษ ทั้งหลายไปด้วยสั่งว่า พวก ท่านจงตระเตรียมอาหารในที่ที่นางศากิยานีเหล่านั้นไปๆ กัน
บทว่า สูเนหิ ปาเทหิ ความว่า เพราะนางศากิยานีเหล่านั้นเป็นสุขุมาลชาติ ตุ่มพองเม็ดหนึ่งผุดขึ้นที่พระบาททั้งสอง เม็ดหนึ่งแตกไป พระบาททั้งสองพองขึ้น เป็นประหนึ่งเมล็ดผลตุ่มกา. เพราะเหตุนั้น ท่านพระอานนท์จึงกราบทูลว่า สูเนหิ ปาเทหิ ดังนี้
บทว่า พหิทฺวารโกฏฺเก ได้แก่ ภายนอกซุ้มประตู. ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระนางมหาปชาบดีจึงยืนอยู่อย่างนั้น ตอบว่า ได้ยินว่าพระนางมหาปชาดีได้มีความคิด อย่างนี้ว่า เราพระตถาคตไม่ทรงอนุญาตแล้ว ก็ถือเพศบรรพชาด้วยตนเองทีเดียว ก็แลความที่เราถือเพศบรรพชาอย่างนี้ เกิดปรากฏไปทั่วชมพูทวีป ถ้าพระศาสดาทรงอนุญาตบรรพชาไซร้ ข้อนั้นเป็นการดี แต่ถ้าพระองค์จักไม่ทรงอนุญาตไซร้ จักมีความครหาอย่างใหญ่หลวง จึงไม่อาจจะเข้าไปยังวิหาร ได้ยินทรงกรรแสงอยู่
บทว่า กึ นุ ตว โคตมิ ความว่า ความวิบัติแห่งราชตระกูลเกิดขึ้นแล้วหรือหนอ เพราะเหตุไรหนอ พระองค์ทรงภาวะแปลกไปอย่างนี้ คือมีเท้าบวม ฯลฯ ประทับยืน อยู่แล้ว ฯลฯ บทว่า อญฺเนปิ ปริยาเยน ได้แก่ แม้โดยเหตุอื่น. พระอานนท์ กล่าวพระคุณของพระนางมหาปชาบดีนั้นด้วยคำมีอาทิว่า พระนางมหาปชาบดีนั้น ด้วยคำมีอาทิว่า พระนางมหาปชาบดีมีอุปการะมากพระเจ้าข้า ดังนี้ เมื่อจะทูลขอ บรรพชาอีกครั้ง จึงได้ทูลอย่างนั้น. แม้พระศาสดาก็ทรงพระดำริว่า ธรรมดาว่าสตรีทั้งหลายมีปัญญาน้อย เมื่อเราอนุญาตการบรรพชาด้วยเหตุเพียงถูกขอครั้งเดียวเท่านั้น ก็จะไม่ถือเอาคำสั่งสอน ของเราให้หนักแน่น ดังนี้แล้ว จึงทรงห้าม ๓ ครั้ง บัดนี้ เพราะเหตุที่เธอประสงค์จะ ถือเอาคำสอนของเราให้หนักแน่น จึงตรัสคำมีอาทิว่า ดูก่อนอานนท์ ถ้ามหาปชาบดีโคตมีจะยอมรับครุธรรม ๘ ประการไซร้ การรับครุธรรมนั้นแหละ จงเป็น อุปสมบทของเธอ. บรรดาเหล่านั้น
บทว่า สาวสฺสา ความว่า การรับครุธรรมนั้น แหละเป็นทั้งบรรพชาเป็นทั้งอุปสมบทของเธอ.
บทว่า ตทหุปสมฺปนฺนสฺส แปลว่าผู้อุปสมบทในวันนั้น.
บทว่า อภิวาทน ปจฺจุฏฺาน อญฺชลิกมฺม สามีจิกมฺม กาตพฺพ ความว่า ภิกษุณีไม่กระทำการดูถูกตนเองและดู หมิ่นผู้อื่น กระทำการกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ กระทำการลุกขึ้นด้วยอำนาจ ลุกขึ้นจากอาสนะออกไปต้อนรับ รวมนิ้วทั้ง ๑๐ แล้วไหว้. การกระทำสามีจิกรรม กล่าวคือกรรมอันสมควร มีการปูอาสนะ และการพัดวีเป็นต้น ๑.
บทว่า อภิกฺขเก อาวาเส ความว่า ไม่มีอาจารย์ให้โอวาท โดยไม่มีอันตราย สำหรับนางภิกษุณีผู้ อยู่ในอาวาสใดอาวาสนะชื่อว่าอาวาสไม่มีภิกษุ. ภิกษุณีไม่ควรเข้าจำพรรษาในอาวาส เห็นปานนี้.
บทว่า อนฺวฑฺฒมาส แปลว่า ทุกอุโบสถ.
บทว่า โอวาทูปสงฺกมน แปลว่า เข้าไปเพื่อต้องการโอวาท
บทว่า ทิฏฺเน แปลว่า โดยเห็นด้วยตา
บทว่า สุเตน แปลว่า โดยได้ฟังด้วยหู
บทว่า ปริสงฺกาย แปลว่า โดยรังเกียจด้วยการ เห็นและการฟัง.
บทว่า ครุธมฺม ได้แก่ อาบัติหนัก คือ อาบัติสังฆาทิเลส
บทว่า ปกฺขมานตฺต ได้แก่ ภิกษุณีพึงประพฤติมานัต ๑๕ วันเต็ม
บทว่า ฉสุ ธมฺเมสุ ได้แก่ ในสิกขาบททั้งหลาย มีวิกาลโภชนสิกขาบทเป็นที่ ๖
บทว่า สิกฺขิตสิกฺขาย ได้แก่ บำเพ็ญสิกขาโดยไม่ให้ขาดแม้สิกขาบทเดียว
บทว่า อกฺโกสิตพฺโพ ปริภา สิตพฺโพ ความว่า ภิกษุณีไม่พึงด่าภิกษุด้วยอักโกสวัตถุ ๑๐ ประการอย่างใดอย่าง หนึ่ง ไม่พึงบริภาษด้วยการบริภาษอย่างใดอย่างหนึ่งอันอ้างถึงสิ่งที่น่ากลัว
บทว่า โอวโฏ ภิกฺขุนีน ภิกขูสุ วจนปโถ ความว่า คลองแห่งถ้อยคำกล่าวคือ โอวาทิ อนุศาสนี และธรรมกถา อันภิกษุณี ห้ามปิดในภิกษุทั้งหลาย คือภิกษุณีไม่ควร โอวาทไม่ควรอนุศาสน์ภิกษุไรๆ แต่ภิกษุณีควรจะกล่าวตามประเพณีอย่างนี้ว่า ท่านเจ้าข้า พระเถระในปางก่อนได้บำเพ็ญวัตรเช่นนี้ๆ มา
บทว่า อโนวโฏ ภิกฺขูน ภิกฺขุนีส วจนปโถ ความว่า ภิกษุทั้งหลาย ไม่ห้ามคำอันเป็นคลองในภิกษุณีทั้งหลาย คือ ภิกษุทั้งหลายจงโอวาท จงอนุศาสน์ จงกล่าวธรรมกถาตามชอบใจ ความ สังเขป ในข้อนี้มีดังว่ามานี้. แต่เมื่อว่าโดยพิสดาร กถาว่าด้วยครุธรรมนี้ พึงทราบ โดยนัยที่กล่าวแล้วในอรรถกถาพระวินัย ชื่อว่า สมันตปาสาทิกา นั้นแล. โทมนัส อย่างใหญ่หลวงของพระนางปชาบดี สงบลงทันทีเพราะได้ฟังครุธรรม ๘ ประการนี้ ที่พระเถระเรียนในสำนักพระศาสดาแล้วมาทูลแก่พระนาง พระนางปราศจากความ กระวนกระวาย มีใจชื่นชมยินดี ประหนึ่งว่าโสรจสรงลงบนกระหม่อมด้วยน้ำเย็น ๑๐๐ หม้อ ที่นำมาจากสระอโนดาด เมื่อจะทำให้แจ้งซึ่งปิติและปราโมทย์ที่เกิดขึ้น เพราะรับครุธรรม จึงได้เปล่งอุทานมีอาทิว่า เสยฺยถาปิ ภนฺเต ดังนี้
บทว่า กุมฺภตฺเถนเภหิ ความว่า อันโจรผู้จุดไฟในหม้อแล้ว เลือกเอาสิ่งของในเรือนของผู้ชื่นด้วยแสงสว่างนั้นขโมยไป.
บทว่า เสตฏฐิกา นาม โรคชาติ ความว่า รวงข้าวแม้ออกจากต้นข้าวที่ถูกหนอนตัวเล็กๆ เจาะถึงกลางก้านก็ไม่อาจถือเอาน้ำ นม (คือให้น้ำนม) ได้.
บทว่า มญฺเชฏฺกา นามโรคชาติ ได้แก่ ภายในลำต้นอ้อยมี สีแดง.
ก็ด้วยบทว่า มหโต ตฬากสฺส ปฏิกจฺเจว ปาลึ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงความนี้ไว้ว่า เหมือนอย่างว่า เมื่อเขาไม่พูนคันกั้นสระใหญ่ น้ำสักหน่อย หนึ่งก็ไม่ขังอยู่เลย แต่เมื่อเขาปิดไว้ครั้งแรกนั่นแหละ น้ำใดที่ไม่ขังอยู่ เพราะไม่ ปิดกั้นเป็นปัจจัยน้ำแม้นั้นก็พึงขังอยู่ได้ฉันใด. ครุธรรมเหล่านี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เรา บัญญัติเสียก่อน เพื่อประโยชน์จะไม่ให้นางภิกษุณีจงใจล่วงละเมิดในเมื่อเรื่องยังไม่ เกิดขึ้น เพราะเมื่อเราไม่บัญญัติครุธรรมเหล่านั้น เพราะมาตุคามบวช พระสัทธรรม จักดำรงอยู่ได้ ๕๐๐ ปี แต่ครุธรรมที่เราบัญญัติไว้เสียก่อน พระสัทธรรมจักดำรงอยู่ ได้อีก ๕๐๐ ปี รวมความว่าพระสัทธรรมจักดำรงอยู่ได้เพียง ๑,๐๐๐ ปี ซึ่งได้ตรัสไว้ ก่อนดังกล่าวมาฉะนี้.
ก็คำว่า วสฺสสหสฺส นี้ ตรัสโดยมุ่งถึงพระขีณาสพผู้บรรลุปฏิสัมภิทาเท่านั้น แต่เมื่อกล่าวให้ยิ่งไปกว่านั้น ๑,๐๐๐ ปี โดยมุ่งถึงพระขีณาสพผู้สุกขวิปัสสก ๑,๐๐๐ปี โดยมุ่งถึงพระอนาคามี ๑,๐๐๐ โดยมุ่งถึงพระสกทาคามี ๑,๐๐๐ ปี โดยมุ่งถึงพระ โสดาบัน ปฏิเวธสัทธรรมถูกดำรงอยู่ได้ ๕,๐๐๐ ปี โดยอาการดังกล่าวมานี้ แม้ พระปริยัติธรรมก็ดำรงอยู่ได้ ๕,๐๐๐ ปีนั้นเหมือนกัน. เพราะเมื่อปริยัติธรรมไม่มี ปฏิเวธธรรมก็มีไม่ได้ แม้เมื่อปริยัติธรรมไม่มี ปฏิเวธธรรมไม่มี ก็เมื่อปริยัติธรรม แม้อันตรธานไปแล้ว เพศ (แห่งบรรพชิต) ก็จักแปรเป็นอย่างอื่นไปแล.
จบ อรรถกถาโคตมีสูตรที่ ๑
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ หากมาตุคามจักไม่ได้ออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว พรหมจรรย์ก็ยังจะตั้งอยู่ได้นาน สัทธรรมพึงดำรงอยู่ได้ ๑,๐๐๐ ปี แต่เพราะมาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิต ใน ธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว พรหมจรรย์จะไม่ตั้งอยู่นาน ทั้งสัทธรรมก็จักดำรง อยู่เพียง ๕๐๐ ปี
พรหมจรรย์ กับ สัทธรรม ในที่นี้มีนัยเหมือนหรือต่างกันอย่างไรครับ
เรียนความเห็นที่ 10 ครับ
พรหมจรรย์คือความประพฤติที่ประเสริฐ มีการอบรมเจริญอริยมรรคมีองค์ 8 นั่นเองครับ ส่วนพระสัทธรรม มีทั้งปริยัติสัทธรรม ปฏิบัติสัทธรรมและ ปฏิเวธสัทธรรม ดังนั้น พรหมจรรย์ในสูตรนี้หมายถึง การปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ 8 และสัทธรรมก็หมายถึงทั้งปริยัติ และปฏิเวธสัทธรรม (การบรรลุธรรม) ด้วยครับ ซึ่งทั้งพรหมจรรย์และสัทธรรมก็สอดคล้องกัน อยู่แล้วครับ