ทางเดินของชีวิต
ควรที่ทุกคนจะคิดถึงประโยชน์ของการเกิดมามีชีวิตเป็นมนุษย์ในขณะนี้ ทุกคนย่อมจะมีทางเดินของชีวิตซึ่งมี ๒ ทาง คือ ทางหนึ่ง เลือกที่จะหมุนเกลียวเข้าให้จมลึกลงในปลักของสังสารวัฏฏ์ต่อไป และ อีกทางหนึ่ง คือ เลือกที่จะหมุนเกลียวออกจากสังสารวัฏฏ์ทีละเล็กทีละน้อย
เพราะฉะนั้น ธรรมต้องพิจารณาทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของโลภะ โทสะโมหะ โดยพิจารณาตนเองว่าการที่ยังมีความติดข้องยึดมั่นผูกพันในบุคคล ควรที่จะคลายเกลียวออกหรือจะหมุนเกลียวให้แน่นเข้าไปอีก เพราะว่าในภพหนึ่งชาติหนึ่งทุกคนต้องมีความผูกพันมีความยึดมั่นในบุคคลต่างๆ โดยฐานะต่างๆ แต่ก็ควรที่จะได้พิจารณาว่า ควรที่จะคลาย หรือ ยึดมั่นให้มากขึ้น หรือแม้แต่ในเรื่องของโทสะ ความโกรธก็เช่นเดียวกัน ถ้าท่านผู้ใดยังมีความโกรธในบุคคลใด ขณะนั้นเป็นอกุศล จะคลายเกลียวออก คือ ละความโกรธและให้อภัยหรือว่าจะหมุนเกลียวของโทสะให้มากขึ้นแน่นขึ้นไปอีก เป็นความจริงที่ว่าวันหนึ่งๆ หาเรื่องที่จะให้โกรธได้ไม่ยาก (เช่นเดียวกันกับการหาวัตถุที่จะเป็นที่พอใจก็ไม่ยากเช่นกัน) ได้ยินอะไรนิดๆ หน่อยๆ ความโกรธก็เกิดขึ้นได้ แต่ถ้าจะเป็นผู้พิจารณาหาเหตุผลว่า ผู้พูดอาจจะพูดไปด้วยความไม่รู้ หรือ เป็นการได้ฟังมาเพียงผิวเผิน หรือ ด้วยความเข้าใจผิด ขณะนั้นจิตใจก็จะสบายมากทีเดียว ไม่เดือดร้อน หมดเรื่อง จบเรื่องทุกอย่าง เพราะฉะนั้น ทุกๆ ขณะในชีวิตเป็นขณะที่จะได้พิจารณาถึงประโยชน์ของความเป็นผู้ตรง ที่จะรู้ว่ากุศลทั้งหลาย ย่อมเป็นประโยชน์กว่าอกุศล
ในขณะนี้มีโมหะ คือ ขณะที่เห็น ก็ไม่รู้สภาพความจริงของนามธรรมและรูปธรรมในขณะที่กำลังเห็นในขณะนี้เอง หรือแม้ในขณะที่ได้ยินเดี๋ยวนี้ ไม่รู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม ในขณะที่ได้ยินและเสียงที่ปรากฏ ขณะนี้จะคลายเกลียวจากโมหะ โดยการอบรมเจริญปัญญารู้ลักษณะของสภาพธรรม หรือว่าจะพอใจในการหมุนเกลียวของโมหะให้มากขึ้นอีก โดยละเลยการที่จะระลึกศึกษารู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
นี่คือเส้นทางของชีวิตที่ทุกคนจะพิจารณาเลือกเดินต่อไปทุกๆ ขณะ แม้ในขณะนี้เอง
ทางเดินของชีวิต จะขันเกลียวหรือคลายเกียว ขันเกลียวมีอาการหนักและบีบคั้น ต่อสังสารวัฎฎ์เป็นอกุศล คลายเกลียวมีอาการเบาสบายเป็นกุศล เกลียวหวานเป็นอาการหลุดจากเราเพื่อสู่เสกขบุคคล คือรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง การเดินทางของชีวิตเมื่อมีประสบการณ์เกลียวหวาน ก็ขออนุโมทนาด้วย ครับ
เกิดโทสะกับใครบางคนที่ทำให้เราเจ็บ เกลียวของโทสะบ้างครั้งก็คลายได้ แต่บางครั้ง กลับหมุนแน่นเมื่อเห็นหน้า พยายามเลือกทางเดินของชีวิตด้วยการรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แต่ทำได้เป็นบางครั้งเท่านั้น ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่เกิดประโยชน์อะไร อย่างนี้เรียกว่าขาดสติใช่ไหมคะ จะทำอย่างไรดีคะ
ขณะที่อกุศลจิตเกิดก็ชื่อว่าขาดสติ ขณะที่กุศลจิตเกิดก็ชื่อว่ามีสติ หนทางเดียวที่จะละกิเลส คือ การศึกษาธรรมะ การอบรมปัญญา การรักษาศีล การอบรมเมตตา และการเจริญกุศลทุกประการ ฯลฯ ค่ะ
เกลียวโทสะคลายได้แค่บางครั้งไม่ได้ประโยชน์ เพราะบางครั้งที่คลายไม่ได้จะสังสมมีกำลังให้โทสะครั้งต่อไปแรงขึ้นกว่าเดิม เป็นอันตราย จนทำลายข้าวของและถึงกับประทุษร้าย ฯลฯ เพราะผลของโทสะ เลยพยายามเลือกทางเดินด้วยการรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏก็ผิดอีก เพราะยังไม่มีความสามารถที่จะรู้ได้ ถามว่าจะทำยังไงดี ทำนะไม่ได้ แต่ถ้าฟังธรรมจนสติมีกำลัง ระลึกรู้ขณะโทสะเกิดจะช่วยได้ แต่สติจะเกิดไม่ใช่ของง่ายแถมยังต้องมีกำลังด้วย ทางเดียวคือฟังธรรมให้เข้าใจ แล้วฟังธรรมอยู่หรือเปล่าครับ รู้จักสติหรือยัง
ขอบพระคุณค่ะ ฟังธรรมทุกวันค่ะ พยายามทำความเข้าใจ และจะน้อมนำมาปฏิบัติให้ได้
เราไม่สามารถทราบได้เลยว่าเหตุการณ์ข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แม้คิดว่าตัวเองจะได้เข้าใจธรรมะบ้างแล้ว แต่เวลาเผชิญหน้ากับความสูญเสีย ธรรมะไม่ได้เกื้อกูลที่จะให้คลายความเศร้าโศกได้เลย จึงทำให้รู้ว่ายังอีกไกลมากจริงๆ ค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ดิฉันได้อ่านพระบรมราโชวาทของในหลวง ท่านกล่าวว่า เราสามารถรู้อนาคตได้จากการกระทำในปัจจุบัน ดิฉันว่าก็จริงนะคะเพราะหากปัจจุบันเราทำดีจนเป็นนิสัย ในอนาคตเราก็ย่อมได้รับผลดีตอบแทน เฉกเช่นกับการเลือกทางเดินของชีวิต หากเราเลือกทางที่ดี (กุศล) เราก็จะได้รับผลดีจากที่เราเลือก แต่หากเราเลือกทางเดินที่ไม่ดี (อกุศล) เราก็ได้รับผลที่ไม่ดีจากทางที่เราเลือกเหมือนกัน
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ