ที่ตกนรก ขึ้นสวรรค์ เป็นเปรต อสูรกาย เป็นส่วนไหนของเราครับ
ถ้าทุกอย่างไม่ใช่เรา แล้วที่ตกนรก ที่ขึ้นสวรรค์ เป็นเปรต อสูรกาย เป็นส่วนใหนของเรา ขอผู้รู้ช่วยอธิบายหน่อยครับ
ทุกอย่างไม่ใช่เรา เป็นสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ไม่ว่าจะเกิดที่ไหน ภพภูมิใด แต่เพราะความไม่รู้และความเห็นผิด เราก็เลยหลงไปยึดมั่นว่าสิ่งนั้นเป็นเรา เป็นตัวตน เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ความจริงแล้ว ที่สมมติว่าเป็นเรา เป็นมนุษย์ , สมมติว่าเป็นเทวดา เป็นเปรตเป็นอสูรกาย เกิดในภพภูมิต่างๆ ก็เพราะยังมีความจริงที่มีปัจจัยให้เกิดในที่นั้นๆ ได้ แต่เกิดมาแล้วไม่รู้ความจริง การสะสมความคุ้นเคยที่จะคิดถึงชื่อกับเรื่องราวที่สมมติกันขึ้นมานานแสนนาน ชื่อกับเรื่องราวต่างๆ นั้นจึงปิดบังการที่จะรู้ความจริงต่อไปอีก
การเกิดในโลกนี้ ถ้าไม่มีสิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าโลกนี้กลม ราบ กว้างใหญ่ มีทะเล ภูเขา ป่าไม้ ฯลฯ อย่างไร แต่เมื่อมีทางที่จะทำให้เกิดขึ้นมา "รู้สิ่งที่ปรากฏ" จึงมีการสมมติจากสิ่งที่ปรากฏตามทางต่างๆ คือทางตาบ้าง หูบ้าง จมูกบ้าง ลิ้นบ้าง กายบ้าง ใจบ้าง ว่ามีมนุษย์ มีสัตว์เดรัจฉาน ต้นไม้ภูเขา ตึกรามบ้านช่อง ฯลฯ
ที่มีสมมติอย่างนี้ได้ ก็สมมติจากสิ่งที่มีจริง ไม่เรียกชื่ออะไร ของจริงก็เป็นจริงอย่างนั้นๆ แต่ที่เรียกว่าธรรมะ เพราะในคำสอนของพระผู้มีพระภาค ธรรมะ หมายถึง ทุกสิ่งที่มีจริง ถ้าไม่มีสิ่งที่มีจริงคือธรรมะแล้ว แม้เพียงการจะสมมติว่าเป็นเรา ส่วนไหนของเรา อะไรของเราก็จะมีไม่ได้
การตายในชาติหนึ่งๆ ไม่ได้เก็บร่างกายของชาตินี้ไปด้วย แต่ว่าสภาพนามธรรมคือจิตและเจตสิก ที่ไม่มีรูปร่างใดๆ ยังมีปัจจัยให้มีการเกิดดับสืบต่อไปเรื่อยๆ ตราบใดที่ยังไม่ได้ดับกิเลส และยังไม่ถึงการดับขันธปรินิพพานของผู้ที่เป็นพระอรหันต์ ก็จะมีการเกิดของธรรมะ คือ จิต เจตสิก รวมถึงรูป ต่อๆ ไปไม่จบไม่สิ้นในสังสารวัฏฏ์ครับ
อย่างที่ท่านข้างบนได้กล่าวไว้นะคะ เป็นแต่เพียงกองของรูปนามหรือขันธ์๕ ส่วนที่เรียกว่า คนหรือสัตว์ ก็เป็นแต่เพียงบัญญัติที่ใช้สื่อสารกันให้รู้เรื่องเท่านั้นเองค่ะ
ตัวตน เราเขา ไม่มี มีแต่จิต เจตสิก รูป ที่เกิดดับ จิต และเจตสิก เป็นนามธรรมฝ่ายกุศลก็มี ฝ่ายอกุศลก็มีธรรมทั้งหลายต้องมีเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น ถ้าทำเหตุดี ก็ได้รับผลดี เช่น เกิดในสุคติภูมิ ถ้าทำเหตุไม่ดี ก็ไปสู่อบายภูมิ ฯลฯ
ถ้าปัญญารู้ความจริงว่า มีแต่เพียงจิต เจตสิก รูป คงอาจหาญ ร่าเริงจริงๆ