ทุกคำ...เพื่อน้อมนำมาสู่ขณะนี้ - ลาภอันประเสริฐ

 
พุทธรักษา
วันที่  20 ก.ค. 2553
หมายเลข  16766
อ่าน  1,362

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ข้อความบางตอนจากการสนทนาธรรม วันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๓ "วันวิสาขบูชา" ณ อาคารมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาโดย ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และ คณะวิทยากรถอดเทป โดย คุณย่าสงวน สุจริตกุล

ท่านอาจารย์ ฟังพระธรรมแล้ว ตอบเองถูกต้องไหมคะ ถ้าไม่เข้าใจก็ตอบไม่ได้ แม้แต่ที่ว่า การฟังพระธรรมเป็นลาภอันประเสริฐ ใครตอบ ผู้ฟังควรเป็นคนตอบ ผู้ฟังควรคิด (พิจารณา) ต้องไม่ลืม ว่า การฟังพระธรรมนั้นประโยชน์สูงสุดที่พระผู้มีพระภาคฯ ทรงพระมหากรุณาแสดง ๔๕ พรรษา ก็เพื่อให้ผู้ฟังเกิดปัญญา คือ ความเห็นที่ถูกต้องของตนเอง เพราะฉะนั้นถ้าฟังพระธรรม แล้วเกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง นั่นคือ ประโยชน์ของการฟังพระธรรม


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
พุทธรักษา
วันที่ 20 ก.ค. 2553

เรื่องของ "ลาภ" มีใครไม่อยากได้ลาภ เพราะ ลาภ หมายถึง สิ่งที่ดี ที่น่าพอใจและมีคำว่า "เสื่อมลาภ" ด้วย ได้ลาภ กับ เสื่อมลาภ

แต่ว่า ถ้าไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีลาภได้ไหม ลาภมาได้อย่างไร ถ้าไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่รู้รส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่มีคำสรรเสริญ หรือไม่มีสิ่งที่น่าพอใจ
เพราะฉะนั้น สิ่งที่เรียกว่า "ลาภ" ก็คือ สิ่งที่ขณะนั้น กำลัง (เกิด-ปรากฏ) เป็น "สิ่งที่น่าพอใจ"เมื่อกำลังเห็น หรือกำลังได้ยิน กำลังได้กลิ่น กำลังลิ้มรส กำลังกระทบสัมผัส "สิ่งที่น่าพอใจ" ขณะนี้ สิ่งที่ไม่ปรากฏ จะเป็นลาภได้ไหม ไม่ได้ เพราะว่า สิ่งที่เข้าใจว่า ยังมีนั้น ตราบใดที่ยังไม่ปรากฏ อาจ (มีปัจจัยที่ทำให้) ตาบอดไป หรือสิ่งนั้นสูญหายไปเมื่อไรก็ได้ การฟังพระธรรมที่พิสูจน์ได้ ก็คือ เข้าใจในสิ่งกำลังมี (กำลังปรากฏ) ในขณะนี้ อย่างนี้ จึงจะเป็นความเข้าใจ ที่เข้าถึงความลึกซึ้งของพระธรรม ขณะนี้ ถ้ากำลังเห็นสิ่งที่น่าพอใจ ก็เป็น "ลาภ" ทางตา แต่ถ้าขณะนี้ ไม่มี (ปัญญา) ความเข้าใจถูกในสิ่งที่เห็นขณะนี้ จะเป็น "ลาภอันประเสริฐ" ได้หรือเปล่า

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
พุทธรักษา
วันที่ 20 ก.ค. 2553

เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นว่า ทุกคนที่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ได้ลาภอยู่เสมอหรือเปล่าคะ ได้ตา ได้เห็น ได้หู ได้ยิน (เป็นต้น) แต่จะเป็นการได้ลาภหรือไม่ ก็ต้องแล้วแต่ว่า ได้เห็นสิ่งที่น่าพอใจ หรือ สิ่งที่ไม่น่าพอใจ นี้เป็นอีกระดับหนึ่ง เมื่อทุกคนเกิดมาแล้ว มีตา ได้ลาภแล้วใช่ไหมคะ เพราะว่า เมื่อมีตา ก็มองเห็นได้ และได้หู ก็ได้ยิน คือไม่เป็นคนพิการ ไม่ตาบอด ไม่หูหนวกนี่คือ "ลาภสามมัญ" ที่ได้มาแล้วตั้งแต่เกิด แต่ว่า ได้แล้วไม่เหลือ มีใครรู้บ้างคะ (เช่นขณะที่ตาเห็นสี) ว่า (สี) เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เห็นแล้วดับ ไม่กลับมาอีกเลย เสียงที่ได้ยิน (ทางหู) ก็ปรากฏว่า มีจริง เมื่อมีจิต (ได้ยิน) เกิดขึ้น ได้ยินเสียง (ที่กำลังปรากฏ)

แต่ขณะที่เสียงกำลังปรากฏให้รู้ว่ามีเสียง แล้วเกิด "ความติดข้อง" ในเสียงนั้นขณะนั้น ไม่ใช่ "ลาภอันประเสริฐ" แม้จะเป็นเสียงที่ไพเราะ หรือเป็นรูปที่น่าดูเพราะว่า (ลาภ) สิ่งที่ได้มานั้น ไม่ประเสริฐไม่ประเสริฐ เพราะทำให้เกิด "ความติดข้อง" ทั้งๆ ที่สิ่งนั้นไม่ได้ยั่งยืนเลย พระผู้มีพระภาคฯ ผู้ทรงตรัสรู้ ทรงแสดงความจริงของธรรมะ ว่าทุกอย่างไม่เที่ยง เกิดแล้วดับ เร็วจนสุดที่จะประมาณได้ ทำให้ลวงเหมือนกับว่า กำลังอยู่ในโลกที่เที่ยง ไม่มีอะไรดับไปสักอย่างเดียว นี่คือความเห็นของสามัญชนทั่วๆ ไป ซึ่งไม่ได้ฟังพระธรรม แต่เมื่อได้ฟังพระธรรมแล้ว เข้าใจขึ้น ว่าความจริง เป็นอย่างนี้ถ้าจะประจักษ์ความจริงจะต้องประจักษ์อย่างนี้

เพราะฉะนั้นการได้ "ลาภอันประเสริฐ" จึงไม่ใช่เพียงแต่ว่า เกิดมาแล้วเห็น ได้ยินได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัสสิ่งที่น่าพอใจ แล้วก็ได้ลาภที่น่าพอใจ ลาภที่น่าพอใจ ไม่ใช่ ลาภอันประเสริฐเพราะว่า "ลาภที่น่าพอใจ" ทำให้เกิด "ความติดข้อง"แต่ "ลาภอันประเสริฐ" สามารถที่จะทำให้ไม่เกิด "ความติดข้อง" ในสิ่งที่กำลังปรากฏทั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพราะอะไรคะ เพราะทุกข์ทั้งหลาย ย่อมมาจาก "ความติดข้อง"

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
พุทธรักษา
วันที่ 20 ก.ค. 2553

ธรรมใด ที่สามารถทำให้มี "ความเห็นที่ถูกต้อง" จนกระทั่ง สามารถที่จะ "ละความติดข้อง" ได้ต้องเป็น ธรรมที่มาจากการตรัสรู้ "ความจริง" และ ผู้ที่ทรงตรัสรู้ ก็คือ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ที่ฟัง เป็น "สาวก "ฟังแล้วคิด และ มีการไตร่ตรองใน "ความจริงนั้น" ว่า มีความเข้าใจใน "ความจริงนั้น" มั่นคง แค่ไหน เพราะฉะนั้นอะไร เป็น "ลาภอันประเสริฐ" แค่เพียงเห็น ได้ยิน ฯ กระทบสัมผัสสิ่งที่น่าพอใจ ที่คิดว่าดีแล้วมากๆ และอยากจะได้ไม่มีวันพอ ไม่พอเลยค่ะ เท่าไรก็ไม่พอ แต่ สิ่งที่ได้มา และ คิดว่ายังไม่พอ เป็นสิ่งที่ไม่เหลือเลยสักขณะเดียว หมดไปพร้อมกับจิตเห็น จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น ฯ ที่เกิดขึ้นแล้วดับไปแม้แต่จิตคิดนึก เกิดแล้วก็ต้องดับไปด้วย คำตอบก็มีอยู่แล้ว ใช่ไหมคะ ทุกท่าน (ฟังพระธรรม) ไม่ใช่ฟังแล้วก็อยู่ในพระไตรปิฎก ซึ่งเป็นข้อความที่พระผู้มีพระภาคฯ ทรงแสดง ท่านผู้ฟัง มีความเข้าใจมั่นคง ในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง แค่ไหน ต้องเป็น "เดี๋ยวนี้" ด้วย ได้ลาภแล้ว ใช่ไหมคะ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
prakaimuk.k
วันที่ 20 ก.ค. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ups
วันที่ 20 ก.ค. 2553

สาธุ

ยากจริง ลาภ อันประเสริฐ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
พร้อมเสมอ
วันที่ 20 ก.ค. 2553

สาธุ

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
orawan.c
วันที่ 28 ก.ค. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
aiatien
วันที่ 30 ก.ค. 2553

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
chatchai.k
วันที่ 18 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ