ทำไมจึงเพิ่งเข้าใจ
ทำไมจึงเพิ่งเข้าใจ
ฟังธรรม ศึกษาธรรมมาตั้งแต่เด็ก นับเป็นเวลาหลายสิบปี แต่เพิ่งเข้าใจธรรม (ขั้นการฟัง) ที่ทรงแสดงเหตุและผลของสภาพธรรมนั้นๆ มีแต่ลักษณะสภาพธรรมเท่านั้นที่เกิดปรากฏให้ระลึกศึกษา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เพราะเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะแล้วก็ดับไป ไม่มีสภาพธรรมใดกลับมาเกิดซ้ำอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ ที่เพิ่งเริ่มเข้าใจก็เพราะยังเจริญเหตุของปัญญาไม่เพียงพอ ได้ฟังคำบรรยาย “แนวทางเจริญวิปัสสนา” ครั้งที่ ๑๘๗๘ ท่านอาจารย์บรรยายไว้ สรุปได้ว่า
เหตุให้เกิดปัญญา มี ๔ ประการ คือ
๑. โดยกรรม
๒. โดยอุปัติ
๓. โดยความแก่รอบแห่งอินทรีย์
๔. โดยความห่างไกลจากกิเลส
โดยกรรม คือ การกระทำ การที่จะเข้าใจพระธรรมที่ลึกซึ้ง ยากที่จะรู้ตามนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย พระผู้มีพระภาคทรงบำเพ็ญพระบารมีถึงสี่อสงไขยแสนกัป และในพระชาติสุดท้าย ก็ยังต้องทรงใช้เวลาถึง ๖ ปี ก่อนจะตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อตรัสรู้แล้วก็ทรงน้อมพระทัยที่จะไม่ทรงแสดงธรรม เพราะว่าพระธรรมนั้นลึกซึ้งและรู้ตามได้ยาก ดังนั้นเมื่อต้องการปัญญา คือ ความเข้าใจสภาพธรรม จึงต้องมีกัลยาณมิตรเพื่อฟัง ศึกษา สนทนา พิจารณา ไต่ถาม
แม้แต่วิชาภาษาไทย ภาษาอังกฤษที่ใช้เวลาค้นคว้าไม่นาน ก็ยังต้องเรียนในโรงเรียนหลายปี กว่าจะอ่านออกเขียนได้ ต้องมีครูจับมือฝึกให้เขียน ให้อ่านทีละตัว ทั้งๆ ที่ความรู้นั้นเพียงพอที่จะเลี้ยงอัตภาพในชาตินี้เท่านั้น ก็ยังทุ่มเทสละเวลาเกือบครึ่งชีวิตเพื่อศึกษาเล่าเรียน แต่ธรรมนั้นติดต่อไปตลอดจนกว่าจะหมดภพชาติ ไม่เกิดอีก ก็ยังไม่ให้เวลาศึกษา พิจารณา ค้นคว้าเท่าวิชาการทางโลก ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมปัญญาจึงน้อยนัก เพราะวันหนึ่งๆ ใช้เวลาศึกษา พิจารณาพระธรรมสักกี่นาที บางวันอาจจะไม่เลยก็ได้
โดยอุปัติ การเกิดในประเทศที่สมควร หรือในโลกที่ไม่เบียดเบียน คือ เกิดในที่มีพระธรรม คำสั่งสอนที่ถูกต้อง มีกัลยาณมิตรที่คอยช่วยเหลือแนะนำ ชี้ทางถูกทางผิด ซึ่งพวกเราก็โชคดีที่เกิดในประเทศไทย และวิถีชีวิตทำให้ได้พบกับท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เป็นกัลยาณมิตร ผู้มีเมตตาคอยแนะนำให้ระลึกเสมอว่า “ทุกอย่างเป็นธรรม ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน”
โดยความแก่กล้ารอบแห่งอินทรีย์ ครั้งแรกเมื่อเริ่มฟัง ก็พอใจที่ได้ยินเสียงเพราะๆ ของท่านอาจารย์ และชอบฟังเรื่องราวในพระสูตร โดยเฉพาะชาดก รู้สึกสนุกดี ไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดของธรรมที่มีในพระสูตรหรือชาดกนั้นๆ ฟังด้วยความเพลิดเพลินเสียมากกว่า แต่เมื่อฟังหลายๆ ปี ก็เริ่มเข้าใจขึ้น เพราะไม่หยุดฟัง เหมือนต้นไม้ที่เริ่มจากต้นเล็กๆ ค่อยๆ เติบโตขึ้น และเมื่อถึงเวลาก็ออกดอกออกผล ขออย่างเดียว คือ อย่าหยุดศึกษา หยุดพิจารณาธรรม
โดยความห่างไกลจากกิเลส ยังไม่หมดกิเลสหรอก แต่อย่าใช้ชีวิตประจำวันคลุกคลีกับกิเลสมากนัก สำหรับตัวเองนั้น ติดไปหมดทุกอย่าง ติดละครโทรทัศน์ ติดหนัง ติดนิยาย ติดเกมส์ ติดรสอร่อย ขวนขวายพากันไปรับประทาน ไกลแค่ไหนก็ไป บางครั้งก็หลงผิดคิดว่าตัวเองทำอาหารบางอย่างอร่อย ก็จะเสียเวลาทั้งวันเพื่อทำมากมาย แล้วก็วิ่งไล่แจก ให้คนชม ถ้าเขาไม่ชมก็โกรธ
ติดทั้งสรรเสริญ ไม่พอใจทั้งนินทา ติดกลิ่นหอมๆ เที่ยวแสวงหาดอกไม้กลิ่นหอมๆ ปลูกไว้รอบบ้าน เมื่อไม่ออกดอก ก็เป็นทุกข์ ติดสิ่งสวยงาม ติดบรรยากาศแปลกใหม่ ไม่ซ้ำซากจำเจ จึงต้องไปท่องเที่ยวตามที่ต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตามแต่งบประมาณจะเอื้ออำนวย ก่อนไปก็ตื่นเต้นดี แต่กลับมาก็เหนื่อยล้าอ่อนเพลีย ติดการสัมผัส ต้องหาหมอนวดมาบีบนวดให้ร่างกายได้ผ่อนคลายหายเมื่อยล้า มีแต่เรื่องติด หรือเรื่องไม่พอใจ อย่างมองกระจกเมื่อใส่แว่นตาก็เห็นรายละเอียดมากมาย เห็นผิวหน้า แขนขาของตัวเองแล้ว ดูเหมือนแอปเปิลที่ถูกลืมไว้ในตู้เย็น ๒ – ๓ เดือน ไม่มีน้ำไม่มีนวล ผิวแห้งเห็นเป็นร่องๆ เมื่อเห็นแล้ว แทนที่จะนึกถึงโทษของความชรา กลับคิดจะไปหาโลชั่นดีๆ มาทา เพื่อลบเลือนริ้วรอย มานึกดูก็แปลกนะ ทุกคนอยากมีอายุยืนยาว แต่ทุกคนก็รังเกียจสัญลักษณ์ที่แสดงความมีอายุ
นอกจากนั้นก็ยังวิตกกังวล ถ้าร่างกายมีความปกติเล็กน้อย ก็กลัวจะเป็นโรคร้ายแรง กลัวตายเร็ว และบางครั้งก็กลัวจะอายุยืนยาว เพราะไม่มีลูก กลัวไม่มีใครดูแลยามแก่เฒ่า วันหนึ่งๆ เต็มไปด้วยอกุศลจิต แม้จะเป็นผู้ไม่ประพฤติทุจริตผิดกฎหมายก็ตาม แต่ก็อยู่ใกล้ชิดกิเลสทั้งวัน
ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมปัญญา (ขั้นฟัง) เพิ่งเริ่มเกิด ได้พิสูจน์พระธรรมคำสอนของพระผู้มีพระภาคแล้วว่า ผลต้องสมควรแก่เหตุ
เพราะฉะนั้น เมื่อต้องการมีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา ก็ต้องเจริญเหตุให้เกิดปัญญา ไม่ใช่อยากได้ปัญญาโดยไม่รู้เหตุที่จะทำให้เกิดปัญญา ซึ่งก็ต้องอาศัยการอบรมเจริญต่อไปอีกเรื่อยๆ เป็นจิรกาลภาวนา เมื่อเหตุสมควรแก่ผล ปัญญาก็จะเกิดทำกิจของปัญญาคือ ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดปรากฏให้ศึกษา ถ้าเป็นอย่างนั้นชีวิตนี้คงจะเป็นชีวิตที่ประเสริฐอย่างแท้จริง
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ และขออนุญาตเรียนถามคุณ kanchana.C ว่า ความติดข้องนั้นได้ลดลงได้อย่างไรบ้างครับ มีความรู้สึกว่ายังติดข้องอยู่ แต่ไม่ทำตามใจ หรือทำแต่มีสติว่ายังติดข้องอยู่ หรือรู้สึกว่าไม่ติดข้องแล้ว ไม่สนใจในสิ่งนั้น ไม่ทำอีก เราจะตรวจสอบอย่างไรครับ
ขอบพระคุณครับ
เรียนคุณจักรกฤษณ์
ทุกอย่างยังเหมือนเดิมค่ะ เพราะปัญญาเพิ่งจะเจริญงอกเป็นตุ่มเล็กๆ ยังไม่เกิดดอกออกผลทำกิจของปัญญาแต่อย่างไร เพียงเข้าใจขั้นการฟัง แล้วก็พอจะรู้สึกว่ามีกิเลสหนาแน่นตลอดเวลาเท่านั้นเอง ยังไม่ประจักษ์ลักษณะของกิเลสขณะที่กำลังปรากฏ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะปัญญายังไม่มากพอที่จะทำกิจของปัญญา ก็ต้องเป็นอย่างนี้ ยังละคลายอะไรไม่ได้สักอย่างเดียว เพียงแต่มั่นใจว่า นี่เป็นหนทางที่ถูกต้องที่จะต้องเพียรฟัง เพียรศึกษาจนกว่าจะเข้าใจจริงๆ แล้วสติก็จะเกิดทำกิจระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตรงลักษณะจริงๆ แล้วปัญญาก็จะทำกิจรู้แล้วละเองค่ะ
ขอบพระคุณ คุณ Kanchana. C ครับ ที่ทำให้ผมเข้าใจมากขึ้น เพราะผมก็ยังละอะไรไม่ได้เช่นกัน ทำให้รู้ว่าปัญญายังไม่พร้อม ได้เพียงแต่คิดพิจารณาเท่านั้น เมื่อจะละ จะห้าม จะไม่ทำ ในสิ่งที่ติดข้อง ก็จะรู้สึกถึงความไม่อยากละ ไม่พอใจที่จะละ เกิดขึ้นแสดงให้เห็นอะไรได้เยอะทีเดียว แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้รู้มากขึ้น คือ ความเข้าใจยังไม่ถึงขั้น แต่ยังเป็นตัวตนอยู่ทั้งก้อนเลยครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอีกครั้งครับ
ขณะนี้ "เข้าใจ" ว่า สิ่งที่ "ยังไม่เข้าใจ" มีอยู่มากมาย จริงๆ ครับ
ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณพี่แดงและคุณรากไม้ และขออนุโมทนาค่ะ อ่านแล้วทำให้รู้เรื่อง "สิ่งที่เป็นปัจจัย" ให้เกิด "ปัญญา" และแนวทางใช้ชีวิตประจำวันเพื่อเจริญปัญญา ในขณะที่ยังเป็นตัวตน
เป็นหัวข้อที่น่าสนใจมาก ขอบคุณทุกความเห็นที่ทำให้ฉุกคิดได้อีกหลายเรื่องที่หลายครั้งก็หลง และลืมตัวอยู่บ่อยๆ กับชีวิตประจำวัน
ขออนุโมทนาค่ะ
ถ้าไม่รู้ต้องศึกษาให้มาก เมื่อรู้แล้วต้องปฏิบัติให้มาก รู้แล้วไม่ปฏิบัติก็เหมือนไม่รู้ ปฏิบัติโดยไม่รู้ก็เหมือนไม่ได้ปฏิบัติ ทั้งรู้และปฏิบัติจึงจะได้สัมผัสผล...เริ่มเลยครับ..สาธุ
"ทำไมจึงเพิ่งเข้าใจ?" ขออนุญาตตอบคำถามของอาจารย์กาญจนาแบบซื่อๆ เลยว่า "เพราะเพิ่งจะมีเหตุปัจจัยให้เพิ่งเข้าใจ"
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอขอบคุณทุกท่านมาก และขออนุโมทนาครับ เพิ่งเข้าใจจริงๆ ว่าปัญญาเกิดจากอะไร
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
ด้วยความเคารพจาก ใหญ่ราชบุรี-ธิดารัตน์ เดื่อมขันมณี
เป็นหัวข้อที่น่าสนใจ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ