วิบากเป็นผลของกรรมของตน
ในชีวิตประจำวัน
เป็นเครื่องพิสูจน์อย่างดีว่า
ฟังไป ลืมไป
เรื่องกรรม และ ผลของกรรม
เมื่อใดระลึกได้ ก็ไม่เดือดร้อนมากนัก
เมื่อใดลืมไป ก็เดือดร้อนขึ้นมา (เป็นของใหม่ สะสมต่อไปอีก)
.......................
ท่านจึงเตือนเสมอๆ ให้ฟังไปเรื่อยๆ บ่อยๆ เนืองๆ
พร้อมพิจารณาอย่างแยบคาย
(ด้วยความรักตน มักพิจารณาโทษผู้อื่นมากกว่าตน)
แต่
ทุกอย่างก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาเลย
ต้อง
อาศัยความ อดทน อย่างยิ่งยวด
ลืม บันทึกแล้ว ก็ยังลืมได้อีก ขอขอบคุณท่านสมาชิกที่ช่วยกระตุ้นเตือนอีก และขอ
อนุโมทนาค่ะ
"...ในชีวิตประจำวัน
เป็นเครื่องพิสูจน์อย่างดีว่า
ฟังไป ลืมไป..."
.......
ขอบพระคุณครับ
ฟังแล้ว ลืมแล้ว เช่นกันครับ เพราะเหตุนี้ จึงต้อง ฟังแล้ว ฟังอีกๆ ๆ บ่อยๆ เนืองๆ ครับ
ขออนุโมทนาครับ
กล่าวว่ากรรมและผลของกรรม เป็นเรื่องน่าสพรึงกลัวมาก แต่ถ้ากล่าวว่าเพราะสิ่งนี้มี
สิ่งนี้จึงมี เป็นเรื่องเหตุผลที่ควรศึกษา ทรงตรัสเรืองกรรมไว้อย่างไรหรือ?
เรียนความเห็นที่ 10
พระพุทธเจ้า ทรงแสดงเรื่องของเหตุและผล ในเรื่องของกรรมและผลของกรรมที่เป็นสมมติและปรมัตถ์ครับ เช่น ในความเป็นจริงแล้ว กรรมก็คือ เหตุที่เป็นกุศลหรือ
อกุศล ส่วนผลของกรรม ก็คือวิบากที่เป็นนามธรรม รวมทั้งผลของกรรมก็มีรูปด้วย เพราะฉะนั้น ที่พระองค์ทรงแสดงเหตุและผลว่าเพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมีคือเพราะกรรมมีผลของกรรมจึงมี แสดงโดยนัยที่เป็นสัจจะความจริงแท้ที่เป็นปรมัตถ์ แต่พระองค์ก็ทรงแสดงให้เห็นถึงโดยสมมติด้วยว่า เมื่อเหตุคือกรรมมี ผลของกรรมก็ต้องมีที่จะได้รับ ซึ่งถ้าเป็นอกุศลกรรมที่ไม่ดีมากๆ ก็มีภพภูมิที่เป็นนรกซึ่งมีจริงๆ เพียงแต่ว่าขณะที่ได้รับผลของกรรมคือขณะที่เห็น ได้ยิน...รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสไม่ดี มีเจ็บ เป็นต้นครับ ขออนุโมทนา
กรรม คือ เจตนา
เจตนาดี ก็สร้างกรรมดี (กุศลกรรม) เจตนาร้าย ก็สร้างกรรมไม่ดี (อกุศลกรรม)
การสร้างกรรมดี ได้รับผลเป็นบุญ มีกัลยาณมิตรคอยเกื้อหนุนการสร้างกรรมไม่ดี ได้รับผลเป็นบาป มีศรัตรูคอยรังควานทั้งมิตรและศรัตรู ต่างก็เป็นผู้คอยเตือนให้เราไม่ประมาท