วิบากเป็นผลของกรรมของตน

 
opanayigo
วันที่  28 ก.ค. 2553
หมายเลข  16824
อ่าน  1,648
วิบากเป็นผลของกรรมของตน

วิบากเป็นผลของกรรมของตน ผู้อื่นทำให้ไม่ได้

แต่ละคนมีวิบากกรรมที่ตนได้ทำมาแล้ว

กรรมเป็นปัจจัยให้เกิดวิบากไม่ควรเดือดร้อนทุกสิ่งทุกอย่างกรรมเป็นผู้จัดสรร

วิบากจิตรับผลกรรมโดยรู้อารมณ์ที่กระทบตา หู จมูก ลิ้น กายเป็นการใช้หนี้กรรมที่ได้กระทำแล้ว


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
opanayigo
วันที่ 28 ก.ค. 2553

ในชีวิตประจำวัน

เป็นเครื่องพิสูจน์อย่างดีว่า

ฟังไป ลืมไป

เรื่องกรรม และ ผลของกรรม

เมื่อใดระลึกได้ ก็ไม่เดือดร้อนมากนัก

เมื่อใดลืมไป ก็เดือดร้อนขึ้นมา (เป็นของใหม่ สะสมต่อไปอีก)

.......................

ท่านจึงเตือนเสมอๆ ให้ฟังไปเรื่อยๆ บ่อยๆ เนืองๆ

พร้อมพิจารณาอย่างแยบคาย

(ด้วยความรักตน มักพิจารณาโทษผู้อื่นมากกว่าตน)

แต่

ทุกอย่างก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาเลย

ต้อง

อาศัยความ อดทน อย่างยิ่งยวด

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
สมศรี
วันที่ 28 ก.ค. 2553
ขอขอบคุณท่านอาจารย์ที่เติอนสติให้ฟังธรรมบ่อยๆ เนื่องๆ อย่างตั้งใจฟัง ฟังแล้วก็

ลืม บันทึกแล้ว ก็ยังลืมได้อีก ขอขอบคุณท่านสมาชิกที่ช่วยกระตุ้นเตือนอีก และขอ

อนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 28 ก.ค. 2553

"...ในชีวิตประจำวัน

เป็นเครื่องพิสูจน์อย่างดีว่า

ฟังไป ลืมไป..."

.......

ขอบพระคุณครับ

ฟังแล้ว ลืมแล้ว เช่นกันครับ เพราะเหตุนี้ จึงต้อง ฟังแล้ว ฟังอีกๆ ๆ บ่อยๆ เนืองๆ ครับ

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
pamali
วันที่ 28 ก.ค. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
jaran
วันที่ 29 ก.ค. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
บัวขาว
วันที่ 29 ก.ค. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
ชีวิตคือขณะจิต
วันที่ 29 ก.ค. 2553

กล่าวว่ากรรมและผลของกรรม เป็นเรื่องน่าสพรึงกลัวมาก แต่ถ้ากล่าวว่าเพราะสิ่งนี้มี

สิ่งนี้จึงมี เป็นเรื่องเหตุผลที่ควรศึกษา ทรงตรัสเรืองกรรมไว้อย่างไรหรือ?

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
paderm
วันที่ 29 ก.ค. 2553

เรียนความเห็นที่ 10

พระพุทธเจ้า ทรงแสดงเรื่องของเหตุและผล ในเรื่องของกรรมและผลของกรรมที่เป็นสมมติและปรมัตถ์ครับ เช่น ในความเป็นจริงแล้ว กรรมก็คือ เหตุที่เป็นกุศลหรือ

กุศล ส่วนผลของกรรม ก็คือวิบากที่เป็นนามธรรม รวมทั้งผลของกรรมก็มีรูปด้วย เพราะฉะนั้น ที่พระองค์ทรงแสดงเหตุและผลว่าเพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมีคือเพราะกรรมมีผลของกรรมจึงมี แสดงโดยนัยที่เป็นสัจจะความจริงแท้ที่เป็นปรมัตถ์ แต่พระองค์ก็ทรงแสดงให้เห็นถึงโดยสมมติด้วยว่า เมื่อเหตุคือกรรมมี ผลของกรรมก็ต้องมีที่จะได้รับ ซึ่งถ้าเป็นอกุศลกรรมที่ไม่ดีมากๆ ก็มีภพภูมิที่เป็นนรกซึ่งมีจริงๆ เพียงแต่ว่าขณะที่ได้รับผลของกรรมคือขณะที่เห็น ได้ยิน...รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสไม่ดี มีเจ็บ เป็นต้นครับ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
สากล
วันที่ 30 ก.ค. 2553

กรรม คือ เจตนา

เจตนาดี ก็สร้างกรรมดี (กุศลกรรม) เจตนาร้าย ก็สร้างกรรมไม่ดี (อกุศลกรรม)

การสร้างกรรมดี ได้รับผลเป็นบุญ มีกัลยาณมิตรคอยเกื้อหนุนการสร้างกรรมไม่ดี ได้รับผลเป็นบาป มีศรัตรูคอยรังควานทั้งมิตรและศรัตรู ต่างก็เป็นผู้คอยเตือนให้เราไม่ประมาท

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
ชีวิตคือขณะจิต
วันที่ 30 ก.ค. 2553
สาธุ และขออนุโมทนาครับท่านวิทยากร ทรงตรัสสิ่งที่ทรงประจักษ์ และทรงเห็นแล้ว
 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
เมตตา
วันที่ 31 ก.ค. 2553

วันนี้ช่วงสนทนากับชาวต่างประเทศ ท่านอาจารย์ได้อธิบายวิบากจิตซึ่งเป็นผล

ของกรรม ส่วนรูปที่เป็นผลของกรรมไม่ใช่วิบากเพราะไม่ใช่นามธรรม ไม่ใช่วิบากจิต แต่เป็นกัมมชรูปค่ะ รูปที่เกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัย......ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ...

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
ชีวิตคือขณะจิต
วันที่ 2 ส.ค. 2553
คุณเมตตาครับ กัมมชรูปเป็นผลกรรมนิมิตรหรือ? ปฎิสนธิจิตมีกรรมนิมิตรเป็นอารมณ์หรือ?
 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ