บุญญกริยาวัตถุ คือ ทาน ศีล ภาวนา
ข้อความบางตอนจาการสนทนาธรรมโดยท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์..
ภิกษุ ขอถามเรื่องของตัวเองที่สงสัย เรื่องของ สมถวิปัสสนา อาตมาฟังเทปของโยมอาจารย์เรื่องของ สมถวิปัสสนา สมถะ ที่ไม่ใช่ วิปัสสนาภาวนา ในขั้นทาน ขั้นศีล ที่เกิด ความสงบๆ ในกุศลในขณะนั้น ได้ไหม เจริญพร
อ.จ. ถ้าไม่ใช่เรื่อง ทาน ศีล เพราะฉะนั้น สำหรับบุญญกริยาวัตถุ ๓ ประการโดยสรุป ก็คือว่า ทาน ศีล ภาวนา สำหรับภาวนานั้นก็รวมทั้งการฟังธรรม การแสดงธธรรมความสงบของจิต และ การเจริญสติปัฏฐาน
ภิกษุ ถ้าผู้ที่เข้าใจการเจริญสติปักฐาน ก็ต้องมีสมถะ สลับกับการเจริญสติปัฏฐานแน่นอน เพราะว่าต้องฟังธรรมมากจึงจะเข้าใจสติปัฏฐาน และสลับกันไป ก็เป็นความสงบที่สลับกันไปได้
อ.จ. แม้แต่ขณะที่ สติปัฏฐาน เกิดขณะนั้น ก็มีความสงบ เจ้าค่ะ ไม่ใช่มีแต่ปัญญาขั้น สติปัฏฐาน โดยไม่มีความสงบ ขณะใดที่ปัญญาเกิด ขณะนั้นก็สงบ เจ้าค่ะ สำหรับที่พระคุณเจ้ากรุณาเล่าให้ฟัง ท่านผู้ฟังก็จะเห็นได้ว่า ถ้าใครจะทำหรือจะปฏิบัติ คนนั้นจะตอบว่าปฏิบัติไม่ถูก ปฏิบัติไม่ได้ ทำไม่ได้แน่นอน เช่น ขณะที่เดินบิณฑบาต ท่านที่เข้าใจว่าจะทำ ก็บอกว่าจะทำได้อย่างไร ในขณะที่เดินบิณฑบาต นี่ก็แสดงให้เห็นความเข้าใจผิด คือใครก็ตามที่คิดว่าจะทำ ขณะนั้นไม่ใช่การอบรมเจิญปัญญา เพราะว่าปัญญาไม่ใช่ทำสี่งหนึ่งสี่งใดให้ปัญญาเกิด แต่ว่าต้องอบรมไปทีละเล้กละน้อย จนถึงตอนสุดท้ายที่ท่านกล่าวว่าท่านไม่เอามากๆ ต่อไปนี้เอาทีละนิด คือ ชั่วขณะที่สติระลึกลักษณะของสภาพธรรมขณะนั้น ก็เป็นหนทางที่จะทำให้ปัญญาเรี่มพิจารณาลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ และเมื่อกำลังใส่ใจพิจารณาโดยที่เคยได้ได้ยินได้ฟัง ว่าสภาพรู้มีจริง ขณะที่กำลังมีสี่งที่กำลังปรากฏจะต้องมีสภาพธรรมที่เป็นสภาพรู้สี่งนั้นด้วย ในขณะที่กำลังใส่ใจพิจรณาลักษณะที่เป็นสภาพรู้ ขณะนั้นปัญญาก็เรี่มจะเจริญขึ้นทีละเล็กละน้อย เอาทีละนิด ไม่ใช่เอาทีละ มากๆ เพราะว่าทีละมากเป็นไปไม่ได้
เพราะฉะนั้นให้ทราบว่า ไม่ใช่เรื่องจะทำ แต่เป็นเรื่องการอบรมเจริญ แล้วก็ขอให้พิจารณาดูชีวิตของทุกท่านในอดีตแสนโกฏิกัปป์ ไม่ใช่ท่านจะไม่เคยเกิดมาเลย เคยเกิดแล้วก็ตายๆ ๆ ๆ นับชาติไม่ถ้วน ในแสนโกฏิกัปป์ และผลคือปัญญาในชาตินี้ มีแค่ไหน นี่เป็นสี่งที่พิสูจน์ การค่อยๆ เจริญเติบโตของปัญญา เพราะว่าถ้าไม่เคยฟังพระธรรมในอดีตมาเลย ไม่มีการที่จะสนใจฟังอีก เพราะเห็นว่าเป็นสี่งที่ยากเกินไป และไม่สามารถจะรู้ได้เพียงในชาติเดียว เพราะฉะนั้น บางคนก็อาจจะท้อถอย ด้วยความหวังในผล และถ้าเป็นผู้ที่ท้อถอยมาก ก็จะหันไปสู่การปฏิบัติอย่างอื่น เพราะว่าไม่ได้เป็นผู้ที่ตรงต่อเหตุผลจริงๆ ว่า ถ้าจะต้องประจักษ์การเกิด-ดับของสภาพธรรมใน
ขณะนี้ ก็จะต้องเรี่มระลึกศึกษารู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้นั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ ชาตินี้สติระลึกเท่าไร แล้วปัญญาพิจารณาเรี่มรู้ลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมบ้างเท่าไร นี่เป็นผลของการสะสมอบรมในแสนโกฏิกัปป์ ซึ่งปัจจุบันชาตินี้ เป็นการพิสูจน์การสะสม ซึ่งได้ผ่านมาแล้ว แสดงให้เห็นว่าน้อยแค่ไหน
เพราะฉะนั้น ต้องไปอีกกี่กัปป์ คือถ้าไม่เทียบกับชาตินี้ก็ไม่มีทางที่จะรู้ได้ว่าก่อนๆ นั้น ไม่ใช่ว่า ไม่เคยอบรม ไม่ใช่ไม่เคยฟัง ไม่ใช่สติปัฏฐานไม่เคยเกิด เคยได้ยินได้ฟังมาแล้วแสนกัปป์ ย่อลงมาอีกก็ได้แต่ว่าปัจจุบัน ที่ได้อบรมมาแล้ว ทั้งๆ ที่อบรมมาแล้วแสนกัปป์หรืออาจจะไม่ถึงก็ตามแต่ แต่ว่าหลายชาติ ขณะนี้มีความเข้าใจแค่ไหน
นี่คือผู้ที่ตรงจริงๆ เพราะฉะนั้น พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาฯ ทรงตรัสรู้และทรงแสดง ใม่ใช่สี่งซึ่งไม่มี พร้อมที่จะให้พิสูจน์ แต่ไมใช่ง่าย และต้องเป็นการอบรมความเข้าใจที่ถูกต้องจริงๆ ไม่ใช่เป็นเรื่องทำไม่ได้ ปฏิบัติไม่ได้ เพราะว่า ไม่ใช่ให้ทำ ไม่ใช่ให้ปฏิบัติ แต่อบรมความเข้าใจให้เพี่มขึ้น จนกระทั่งเป็นปัญญาแต่ละขั้น