ที่ไม่พอ สำหรับเก็บ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
[เล่มที่ 40] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้าที่ 424
พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า
“ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่ากิเลสทั้งหลาย ย่อมเป็นสภาพหยาบ, ถ้ากิเลสเหล่านี้ มีรูปร่าง อันใครๆ พึงสามารถจะเก็บไว้ในที่บางแห่ง ได้ไซร้ จักรวาลก็แคบเกินไป, พรหมโลกก็ต่ำเกินไป, โอกาสของกิเลสเหล่านั้น ไม่พึงมี (ให้บรรจุ) เลย, ...”
(พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท)
[เล่มที่ 59] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้าที่ 649
“ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ธรรมดากิเลส ย่อมไม่มีความชื่นบาน เพราะขจัดคุณความดี มีแต่จะให้ตกนรก”
(พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก หาริตจชาดก)
กิเลส เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นนามธรรม เป็นเครื่องเศร้าหมองของจิตใจ กิเลสเวลาที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นมาเฉพาะตัวเขาเองเท่านั้น ยังมีสภาพธรรมอื่นๆ เกิดร่วมด้วย และจะต้องเกิดร่วมกับอกุศลจิตเท่านั้น กิเลสจะเกิดร่วมกับอกุศลจิตเท่านั้น เกิดร่วมกับจิตฝ่ายดีไม่ได้เลย ซึ่งเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น
กิเลส มีมากมายหลายประการ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงไว้โดยละเอียด ตามที่ปรากฏ ในพระสูตรต่างๆ
ที่สำคัญไม่ได้พ้นไปจากชีวิตประจำวันเลย เช่น
โลภะ (สภาพธรรมที่ติดข้อง ยินดีพอใจ)
โทสะ (ความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ ความไม่พอใจ)
โมหะ (ความหลง ความไม่รู้)
มานะ (ความสำคัญตน)
มิจฉาทิฏฐิ (ความเห็นผิด)
วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัยในสภาพธรรม)
อหิริกะ (ความไม่ละอายต่ออกุศลธรรม)
อโนตตัปปะ (ความไม่เกรงกลัวต่ออกุศลธรรม) เป็นต้น
ทั้งหมดนั้น เป็นอกุศลธรรมเป็นธรรมฝ่ายดำ ให้ผลเป็นทุกข์ ทั้งนั้น ซึ่งจะถูกดับด้วยปัญญาขั้นโลกุตตระ
จะเห็นได้ว่า กิเลสในชีวิตประจำวัน มีเยอะมากจริงๆ มีมากมายมหาศาล แม้แต่ในวันนี้เอง เมื่อเทียบส่วนกัน ระหว่างอกุศลกับกุศล แล้ว เทียบส่วนกันไม่ได้เลย เพราะมีอกุศลจิตเกิดขึ้นมากกว่ากุศล นั่นเอง
ถ้ากิเลส มีรูปร่าง (แต่จริงๆ ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเพราะเป็นนามธรรม) ไม่มีที่เพียงพอสำหรับเก็บเลย เพราะมีเยอะมาก ดังข้อความในพระไตรปิฎกที่ได้ยกมา เพราะเหตุว่าทุกครั้งที่อกุศลจิต เกิด จะไม่ปราศจากกิเลสเลยตามแต่ประเภทของอกุศลจิตนั้นๆ และสะสมอยู่ในจิตทุกขณะอีกด้วย
เมื่อรู้ว่ามีกิเลสมากอย่างนี้ ก็ควรอย่างยิ่งที่จะได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูกไปตามลำดับ เพื่อวันหนึ่งข้างหน้า ปัญญาจะเจริญยิ่งขึ้น จนสามารถดับกิเลสประการต่างๆ ได้จริง ซึ่งจะต่างจากบุคคลผู้ที่ไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ได้ศึกษาพระธรรม นับวันกิเลสก็มีแต่จะพอกพูนหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ เพราะไม่รู้ว่าตนเองมีกิเลส หรือ เพราะเข้าใจผิดว่า ตนเองเป็นผู้หมดกิเลสแล้ว นั่นเอง
เพราะฉะนั้น พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง จึงเป็นเครื่องเตือนที่ดี เกื้อกูลให้เห็นอกุศลธรรม และเห็นโทษของอกุศลธรรมตามความเป็นจริง พร้อมทั้งทรงแสดงให้เห็นถึงคุณของปัญญา ปัญญาเป็นสภาพธรรมที่ดีงาม เป็นโสภณธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่สำคัญมากในพระธรรมวินัยนี้ เพราะเหตุว่า บุคคลผู้มีปัญญาเท่านั้นที่จะสามารถดับกิเลสทั้งปวงได้เป็นสมุจเฉท (ถอนขึ้นได้อย่างเด็ดขาด) ไม่เกิดอีกเลย สามารถจะข้ามพ้นไปจากทุกข์ทั้งปวงได้ในที่สุด ครับ
...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ปัญญา เป็นสภาพธรรมที่ดีงาม เป็นโสภณธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่สำคัญมากในพระธรรมวินัยนี้ เพราะเหตุว่า บุคคลผู้มีปัญญาเท่านั้นที่จะสามารถดับกิเลสทั้งปวงได้เป็นสมุจเฉท (ถอนขึ้นได้อย่างเด็ดขาด) ไม่เกิดอีกเลย สามารถจะข้ามพ้นไปจากทุกข์ทั้งปวงได้ในที่สุด ครับ.
...ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ...
กิเลสในชีวิตประจำวันมีมากจริงๆ และกิเลสที่สะสมมาในอดีตอนันตชาติอีกเท่าไหร่ การขัดเกลากิเลสในชีวิตประจำวันก็ยังน้อยมาก ... แสดงให้เห็นว่า กว่าที่ปัญญาจะดับกิเลสจนหมดสิ้นเป็นสมุจเฉทไม่ใช่เรื่องง่าย และเร็วเลย ... ไม่ควรประมาทกิเลส ... (ที่ไม่พอ สำหรับเก็บ ...)
การอบรมเจริญปัญญาย่อมป็นไปทีละน้อยทีละน้อย ค่อยๆ สะสมเป็นกำลังต่อไป ...
เพราะ ความไม่รู้ มืดสนิท ปิดบังทุกสิ่ง
อ่านแล้วให้ระลึกถึงคำกล่าวท่านอ.สุจินต์ว่า กลัวโลภะ แต่ไม่กลัว ความไม่รู้ เพราะความไม่รู้ ก็เลยเก็บๆ ๆ ๆ สะสมต่อๆ ไป (อนิจจา โอ้ว่ากิเลสหรือเรา)
ด้วยความเคารพในธรรม
กราบอนุโมทนาค่ะ
จักรวาลนี้ยังไม่พอเก็บกิเลส รู้แล้วก็สลดใจ แต่ไม่ท้อถอยครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนา อ.คำปั่น ครับ
เป็นธรรมเตือนใจที่ดีที่สุด สำหรับชีวิตประจำวันค่ะ ...
ขออนุโมทนาคุณคำปั่นและทุกๆ ท่านค่ะ
กิเลสเก็บผู้ที่ยังมีกิเลสให้อยู่ในสังสารวัฏฏ์
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
กิเลสถึงจะมีมากขนาดไหนก็แบ่งออกเป็น ๓ ขั้น คือ วีติกกมกิเลส ปริยุฏฐานกิเลส และอนุสัยกิเลส เป็นกิเลสอย่าง หยาบ กลาง ละเอียด ในชีวิตประจำวัน
ถ้าสติเกิดก็จะเห็นกิเลสเหล่านี้ จะประหารกิเลสให้เป็นสมุจเฉท ก็ต้องโลกุตตรมรรคจิต
(ถ้าชอบความเห็นนี้ก็น่าจะมีที่ออกเสียง ชอบ เหมือนในเฟซบุ๊ก)
ในพระไตรปิฎกก็มีแสดงไว้ ที่ว่าโลภะของปุถุชน ต่อให้มีทรัพย์สมบัติมากมาย ก็ไม่รู้จักพอ เปรียบเหมือนมีภูเขาทองคำ ๑ ลูก ก็ยังไม่พอ ก็ยังอยากมีภูเขาทองคำอีก ๒ ลูก และต่อๆ ไปอีกเรื่อยๆ ไม่มีวันจบค่ะ
ในชีวิตประจำวัน ปกติมีสิ่งยั่วยวน สิ่งเร้า อันเชี่ยวกราก ทุกๆ ทางที่รับกระทบได้ ก็หลง เป็นไปในเรื่องนั้น ไหลตามไป รู้สึกตัวอีกที ก็ยึดไปแล้ว มันช่างง่ายดายเหลือเกิน หากแต่ ความเข้าใจ ระลึกรู้ โตช้ายิ่งนัก
กราบอนุโมทนา
เมื่อรู้ว่ามีกิเลสมากอย่างนี้ ก็ควรอย่างยิ่งที่จะได้ ... ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูกไปตามลำดับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
นับเป็นลาภอันประเสริฐ ที่ได้มีโอกาสฟังพระธรรมแนวที่ท่านอาจารย์สุจินต์อบรมอยู่นี้ เมื่อได้ฟังพระธรรมจากท่านอย่างตั้งใจ ฟังต่อเนื่อง บ่อยๆ แล้วระลึกตาม จะเข้าใจ สะสมความเห็นถูกทีละเล็กละน้อย เป็นลำดับ
ขอบคุณและขออนุโมทนา
"Earth provides enough to satisfy every man's need, but not every man's greed."
...Gandhi...
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ รอยยิ้มแห่งความสุขและมีเพื่อนธรรม มากมาย