เพราะความเป็นอนัตตา เพราะความประมาท

 
๐คุณย่า๐
วันที่  19 ส.ค. 2553
หมายเลข  16985
อ่าน  1,380

สุรีย์ ถ้าเราไม่ได้รับการอบรม โดยเฉพาะอบรมอย่างที่เราฟังในห้องนี้ ปล่อยตัวเองไป อย่างนั้นเรื่อยๆ ด้วยความเป็นตัวตน

ท่านอาจารย์ เพราะเป็นอนัตตา ใช่ไหมคะ เริ่มรู้จักแล้ว บังคับบัญชาไม่ได้ มีใครบ้าง ที่ไม่อยากถึงความเป็นพระอรหันต์ แต่เป็นไม่ได้ เพราะอยากเป็นใช่ไหมคะ (เพราะอยาก) ไม่ใช่ปัญญาที่รู้สภาพธรรม เห็นถูกต้องตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น ที่ประมาทก็คือ ประมาทแม้แต่เพียงการจะฟังพระธรรมให้เข้าใจ ตามความเป็นจริง นี่คือ ประมาทขั้นต้น คิดว่าพระธรรมก็ไม่ละเอียดลึกซึ้ง เพียงนิดๆ หน่อยๆ นานครั้งฟัง หรือว่าฟังบ้าง ไม่ฟังบ้างก็พอ นั่นประมาทหรือเปล่า แต่ถ้ารู้จักตนเองตามความเป็นจริง เทียบความมืดสนิท แล้วก็เต็มไปด้วยอกุศล แต่ละวันทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อไรจะค่อยๆ สว่างขึ้น ก็มองเห็นแล้วใช่ไหมคะว่า มีทางที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แล้วทำไมไม่สามารถที่จะประพฤติปฏิบัติตามทางนั้นได้ เพราะความเป็นอนัตตา เพราะความประมาท ซึ่งมีอวิชชาเป็นมูล ความไม่รู้นี้ หุ้มห่อ ไม่ให้เห็นความจริงของสภาพธรรม ไม่ให้เห็นแม้แต่ประโยชน์ของการที่จะค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูก ความเห็นถูก เพราะเมื่อมีความเข้าใจถูก ความเห็นถูกแล้วนะคะ นำมาซึ่งกุศลธรรมทั้งปวง ตรงกันข้ามกับความเห็นผิด ความมืด อยู่ในความมืด จะเห็นได้ยังไง ว่าอะไรที่ควรจะสะสม อะไรที่ควรจะขัดเกลา เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่ว่า มรณสติ มีใครได้ข่าว ขอเชิญไปรับศพที่โรงพยาบาล ไม่ได้คิดมาก่อนเลย เป็นญาติของใครก็ได้ เป็นพี่ เป็นน้องของใครก็ได้ จากโลกนี้ไปแล้วโดยที่ยังไม่รู้เลย แม้ว่าเขาเป็นอะไร และจากไปได้อย่างไร เพราะบางคนไม่ได้มีการติดต่อกันเลยนานทีเดียวนะคะ หรือว่าอยู่ใกล้ชิดในบ้านเดียวกัน แต่ก็อาจจะมีผู้มาบอกว่า เชิญไปรับศพของพี่หรือน้องหรือใครก็ได้ที่โรงพยาบาล เกิดขึ้นวันไหน เมื่อไร ขณะไหนก็ได้ และใครจะเป็นตัวศพที่จากไปก็ได้ หรือใครจะเป็นผู้ที่ได้ยินข่าวก็ได้

เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ว่า อะไรจะเกิดขึ้น แม้แต่เพียงขณะจิตต่อไป ด้วยเหตุนี้ ประมาทไหม ที่จะไม่สะสมความเห็นถูก ซึ่งเป็นแสงสว่าง ซึ่งขณะนี้มีแค่ไหน? พระธรรมที่ทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา ด้วยพระมหากรุณา ละเอียดอย่างยิ่ง ครบถ้วน ทุกประการ ทั้งเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด เพื่อที่จะให้จิตที่ยังไม่ได้อบรม จึงไม่สามารถที่จะละชั่ว ทำความดี และชำระจิตให้บริสุทธิ์อย่างที่ทรงแสดงได้ แต่ต้องอาศัยการค่อยๆ อบรม รู้เลยค่ะ ยังมีกิเลสมาก จะค่อยๆ หมดไปได้ คลายไปได้ ด้วยความเห็นถูก จากการฟังพระธรรม แล้วก็เป็นความเข้าใจของตนเอง ที่จะทำให้มีสัทธาเพิ่มขึ้นฟังมากขึ้น แล้วก็สามารถจะประพฤติปฏิบัติตาม โดยรู้ว่าเป็นธรรมซึ่งไม่ใช่เรา จนกว่าสัทธานั้นจะถึงความเป็นพระโสดาบันบุคคล ซึ่งก็เห็นได้นะคะ พระโสดาบันบุคคล ต้องมีสัทธาสะสมมามาก กว่าจะถึงความเป็นพระโสดาบันบุคคล มากกว่าผู้ที่ไม่ได้ฟังธรรมเลย หรือว่าพึ่งเริ่มที่จะฟัง หรือฟังแล้วก็เป็นห่วงตัวเอง เมื่อไรเราจะเป็นอย่างนั้น เมื่อไรเราจะเป็นอย่างนี้ โดยที่ไม่ได้เข้าใจว่าฟังเพื่อละความเห็นผิด ที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เพราะความจริงไม่มีเรา แต่มีธรรมทั้งหมด
ทรงแสดงไว้โดยละเอียดทุกขณะจิต


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 19 ส.ค. 2553

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
Komsan
วันที่ 20 ส.ค. 2553

ขอขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 20 ส.ค. 2553

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
พุทธรักษา
วันที่ 21 ส.ค. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
hadezz
วันที่ 21 ส.ค. 2553

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
captpok
วันที่ 23 ส.ค. 2553

ที่ประมาทก็คือประมาทแม้แต่เพียงการจะฟังพระธรรมให้เข้าใจ ตามความเป็นจริง นี่คือประมาทขั้นต้น

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
choonj
วันที่ 25 ส.ค. 2553

ยังไม่ประมาทก็ถูกปิดบังไว้แล้ว ด้วยอนัตตา ด้วยตัวตน ด้วยความไม่รู้ หุ้มห่อไว้ และเมื่อโลภเกิดซ้ำอีก ยิ่งไม่รู้อีก ประมาทก็เกิดซ้ำอีกที ยิ่งไปกันใหญ่ จึงต้องฟังให้เข้าใจ ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
เรียบร้อย
วันที่ 11 ก.ย. 2553

อนุโทนา ด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
captpok
วันที่ 12 ก.ย. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ