เห็นเป็นธรรมะ...ไม่ใช่เรา
ประโยชน์ของการศึกษาเรื่องปัจจัย เพื่อให้เข้าใจถูกว่าสภาพธรรมหนึ่งเกิดขึ้นเองลอยๆ ไม่ได้ ต้องอาศัยสภาพธรรมอื่นเป็นปัจจัย เช่น จิตเห็น ไม่มีใครสามารถบังคับให้จิตเห็นเกิดขึ้นได้ แต่จิตเห็นเกิดขึ้น เพราะมีปัจจัยมากมายที่ทำให้เกิด เช่น ถ้าไม่มีสิ่งที่ปรากฏทางตา (สี) เป็นปัจจัยโดยเป็นอารมณ์ เป็น อารัมณปัจจัย มีจักขุปสาทซึ่งรับกระทบสี เป็นปัจจัยโดยเป็นวัตถุปุเรชาตปัจจัย...เป็นต้น ยังมีปัจจัยอีกมากมายที่ทำให้จิตเห็นเกิด ไม่มีใครทำให้จิตเห็นเกิดได้เลย จะเห็นความเป็นอนัตตามากขึ้น เพราะฉะ นั้นจิตเห็นเกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่เรา
ธรรมะทั้งหลายที่เกิดขึ้น ล้วนเกิดเพราะเหตุปัจจัยทั้งสิ้น เกิดเมื่อไหร่ เมื่อไหร่ ก็เป็นธรรมะ...ไม่ใช่เรา
ขออนุโมทนาค่ะ...
ขออนุโมทนาค่ะ
ศึกษาเรื่องปัจจัยก็เพื่อให้มี "ความเข้าใจถูก" ในสภาพธรรม ไม่ใช่ศึกษาเพื่อให้จำชื่อปัจจัยได้เยอะๆ
เป็นธรรมะ...ไม่ใช่เรา..เป็นธรรมะ...ความคิดดังกล่าวเหมือนง่าย..แม้ขั้นคิดยังยาก..เพราะคุ้นเคยกับความคิดที่เป็นเราด้วยตัณหา มานะ และทิฏฐิ แม้คิดตามที่ศึกษาว่า....ไม่ใช่เรา.....นานๆ จึงคิดได้..พระธรรมทำให้เข้าใจมากขึ้น..มีสติมากขึ้นตามความเข้าใจธรรมะ..ความเข้าใจธรรมะไม่ได้เกิดจากการคิดเองแต่เกิดเพราะฟังผู้ที่เข้าใจธรรมะสอน...เพราะพระธรรมยาก ลึกซึ่งศึกษาเองคงเป็นไปไม่ได้...
ขออนุโมทนาผู้สอนหรือให้ความรู้ความเข้าใจธรรมะทุกท่านคะ