นั่งสมาธิแล้วปวดเข่า+ขา
ต้องทนให้ข้ามผ่านความปวดหรือเปล่าคะ ถ้าผ่านข้ามความปวดได้
จะยกระดับจิตให้มีกำลังสูงขึ้นหรือเปล่าคะ
ขอเรียนว่า ถ้านั่งแล้วปวดขาปวดเข่า ก็ไม่ต้องนั่ง ฟังพระธรรมให้เข้าใจก่อนครับจะอยู่ในอิริยาบถไหน ก็ได้ ไม่มีคำสอนใน พระไตรปิฎกส่วนไหนเลยว่า จะต้องนั่งเท่านั้น ห้ามขยับ ไม่มีเลยจริงๆ ครับ ดังนั้น ควรศึกษาพระธรรมคำสอนให้ เข้าใจจริงๆ ก่อนที่จะไปทำตามใครๆ อนึ่ง การจะยกระดับจิตให้สูงขึ้นนั้นต้องอาศัยปัญญา ถ้าไม่มีปัญญาแล้ว ระดับจิตจะสูงขึ้นถึง ขั้นรูปาวจร อรูปาวจรหรือโลกุตตระไม่ได้ แต่การจะมีจิตระดับโลกุตตระได้นั้น ต้องเริ่มศึกษาพระธรรมคำสอน ค่อยๆ อบรมเจริญปัญญาไปตามลำดับขั้น ไม่ใช่การนั่งสมาธิครับ...
ปัญญาที่รู้ทุกข์ หมายถึง ทุกขอริยสัจจ์
ไม่ใช่....ทุกขเวทนา
เพราะทุกขเวทนาใครๆ ก็รู้ได้ ไม่ต้องอาศัยปัญญาก็รู้ค่ะ
แนะนำให้ลองฟังธรรมในเว็บนี้ดูนะครับ จะสะดวกฟังอิริยาบถไหนที่ไม่ต้องทนปวดก็ได้ ไม่มีใครห้าม เพียงแต่ขอให้ตั้งใจฟัง พิจารณาธรรมที่ได้ฟังให้เข้าใจจนเป็นปัญญาของตนเอง เริ่มต้นฟังอาจจะค่อนข้างยาก แต่ถ้ารู้ว่ากำลังฟังความจริงก็ควรอดทนฟังการฟังธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้และทรงแสดง เป็นการยกระดับจิตให้ค่อยๆ สูงขึ้น เพราะทุกครั้งที่เข้าใจธรรม กุศลจิตย่อมเกิดขึ้น เจริญขึ้นตามลำดับ ยกระดับจากปกติที่ใจที่มักเศร้าหมอง คือเป็นอกุศล ยินดีบ้าง ยินร้ายบ้าง หลงลืมบ้าง อยู่บ่อยๆ ครับ
ได้ยินว่า
พระมหาจุนทเถระ ได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
การฟังดี เป็นเหตุให้การฟังเจริญการฟังเป็นเหตุให้เจริญปัญญา
บุคคลจะรู้ประโยชน์ก็เพราะปัญญา ประโยชน์ที่บุคคลรู้แล้ว ย่อมนำสุขมาให้
ภิกษุควรซ่องเสพเสนาสนะอันสงัดควรประพฤติธรรมอันเป็นเหตุให้จิตหลุดพ้นจากสังโยชน์
ถ้ายังไม่ได้ประสบความยินดี ในเสนาสนะอันสงัดและธรรมนั้นก็ควรเป็นผู้มีสติรักษาตน อยู่ในหมู่สงฆ์
ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดมากมีธรรมอยู่รอบตัว
ทำอย่างไรจึงเห็นธรรมตามความเป็นจริง
ชีวิตทั้งหมดทุกชีวิต ตั้งแต่เกิดจนตายเป็นสภาพธรรมแต่ละอย่างการที่จะเข้าใจลักษณะของธรรมได้นั้นไม่ใช่โดยการคิดต้องอาศัยการฟัง หรือ การศึกษาพระธรรม
เริ่มต้นใหม่ด้วยการฟังธรรมให้เข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจธรรมะ หรือ
เข้าใจผิดทำอะไรก็ผิดไปหมด ทั้งกาย วาจา ใจ ฯลฯ ค่ะ
การเจริญสมาธิ มีทั้งสัมมาสมาธิ และมิจฉาสมาธิมิจฉาสมาธิ ไม่ใช่หนทางที่จะนำไปสู่การดับกิเลสสัมมาสมาธิบางประเภท ได้แต่เพียงข่มกิเลสไว้ ไม่สามารถดับกิเลสได้ เป็นสมุจเฉท
ผู้ที่เจริญสมาธิ ควรถามตัวเองก่อนครับว่า ทำไปเพื่ออะไร ถ้าไม่มีจุดประสงค์ที่แน่ชัด ทำไปด้วยความไม่รู้ ก็จะเป็นมิจฉาสมาธิ และเสียเวลาเปล่าอย่างแน่นอนครับ
ข้อความใน สารัตถปกาสินี อรรถกถาสังยุตตนิกาย นิทานวรรค อรรถกถาสุสิมสูตร มีว่า
"พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนสุสิมะ
มรรคก็ตาม ผลก็ตาม ไม่ใช่เป็นผลของสมาธิ ไม่ใช่เป็นอานิสงส์ของสมาธิ ไม่ใช่เป็นความสำเร็จของสมาธิ แต่มรรคหรือผลนี้ เป็นผลของวิปัสสนา เป็นอานิสงส์ของวิปัสสนา เป็นความสำเร็จของวิปัสสนา"
การที่จะค่อยๆ มีความเห็นถูกมากขึ้น จนถึงวันหนึ่งที่ดับกิเลสได้นั้น ต้องเริ่มจากการฟังเรื่องของสิ่งต่างๆ ที่กำลังปรากฏ ตามปรกติในชีวิตประจำวันตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงฟังเรื่องของสิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ว่าพระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอย่างไร เพราะทุกวันๆ กิเลสก็เกิดขึ้นเป็นไป ตามสิ่งที่ปรากฏทั้ง 6 ทวารนี้ ถ้ามีแต่ความไม่รู้ ไม่เข้าใจ ก็ดับกิเลสที่เป็นไปใน 6 ทวารนี้ไม่ได้
ถ้าเข้าใจจริงๆ ในขั้นการฟัง จะเป็นปัจจัยให้สติค่อยๆ ระลึกและปัญญาค่อยๆ รู้ชัดในสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่ละอย่างๆ เพื่อค่อยๆ ละคลายกิเลส ที่เป็นไปกับสิ่งที่เคยปรากฏแล้วไม่รู้ ถ้าไม่ฟังบ่อยๆ ก็ไม่มีความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้น และจะไม่สามารถปฏิบัติได้ถูกต้องครับ ต้องใช้เวลาศึกษามาก และต้องมีความเพียรที่ถูกต้องจริงๆ ครับ แต่เป็นหนทางเดียว ไม่มีทางลัดทางอื่นครับ