มีญาติคอยยืมเงินตลอดเวลาทำอย่างไรดี
ตามหลักพระธรรมแสดงว่า การช่วยเหลือสงเคราะห์ญาติ เป็นมงคลสูงสุดข้อหนึ่ง ในมงคล ๓๘ ถ้าหากญาติ มีความเดือดร้อนมาขอความช่วยเหลือ ถ้าเราช่วยเขาได้ ก็ควรช่วยเหลือตามกำลัง คนเราเกิดมาไม่ได้อยู่ในโลกนี้เพียงคนเดียว มีทั้งญาติ มีเพื่อน และมีคนรู้จัก ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็หนีไม่พ้น เรื่องเงิน การยืมเงิน ถ้าช่วยเหลือเขา ก็เป็นบุญกุศลของเรา แต่ก็ไม่ให้ตัวเราเดือดร้อน ช่วยเหลือตามฐานะกำลัง เพียงน้อยนิดก็ยังดี การไม่ช่วยเลยไม่ดี และขอบอกว่า จะหนีไปไหนก็ไม่พ้นครับ มีทุกที่ และทุกวงการครับ
เรื่องการยืมเงินมีเยอะในสังคม...ผู้ยืมที่เดือดร้อนจริงๆ ก็ควรช่วยเหลือตามกำลัง..แต่หาก เป็นคนฟุ่มเฟือยการให้ยืมอาจเป็นการสนับสนุนให้ฟุ่มเฟือยมากขึ้น...เพื่อไม่ให้เกิดอกุศลใน การถูกยืมเงินควรพิจารณาให้ตามความเหมาะสม .. ควรให้ก็ให้ .. ไม่ควรให้ก็ไม่ให้คะ
ก็ให้เขายืมไป ถ้าไม่มี เขายืมพัน ก็ให้เขาร้อย แล้วบอกว่าไม่ต้องคืน
ถ้ายืมแล้วคืน ก็ให้ยืมอีกเรื่อยๆ แต่ถ้ายืมแล้วไม่คืน ครั้งถัดๆ มา ให้ทวงของเก่า
พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ว่า สุขเกิดจากการไม่เป็นหนี้ฯลฯ ถ้าเขาเดือดร้อนไม่ว่าจะเป็นญาติ หรือไม่ใช่ญาติ ถ้าเราช่วยได้ก็ควรช่วย เกื้อกูลกันตามฐานะ ถ้าเป็นญาติกันให้ญาติยืมเงินแล้ว ถ้าเขาคืนก็ดี ถ้าเขาไม่คืนเงิน เราก็ไม่ควรทวงเงินเขา
คนที่ให้เงินยืมน่าจะรู้ดีว่า คนยืมอยู่ในฐานะอะไร การตัดสินใจการให้หรือไม่ให้ ก็ควรอยู่ในดุลพินิจของเราเอง อย่างไม่สบายใจเพราะเราไม่มีการตัดสินใจเลย เดี๋ยวจะกลายเป็นอกุศลเปล่าๆ ฟังธรรม เพื่อเจริญกุศล ปลดปล่อยเครื่องเศร้าหมอง
เคยประสบมาก่อนค่ะ ทุกวันนี้ต้องชดใช้หนี้ ซึ่งพี่เขยเป็นคนก่อนเอาไว้ (ผ่านมาทางพี่สาวเราเอง) แต่ใช้ชื่อเราในการกู้เงินจากธนาคาร โดยที่ตอนเกิดเรื่องใหม่ เราก็คิดว่าหนี้ของใครคนนั้นก็ต้องชดใช้เอง แต่เวลาผ่านไปเกือบสิบปี เค้าก็ไม่สามารถชดใช้หนี้สินที่เป็นชื่อของเราได้ เราก็เป็นทุกข์ เพราะชื่อเราถูกเป็นคดีความ และในช่วงเวลานั้น เราก็ไม่สามารถชดใช้หนี้นั้นเองได้ เพราะเป็นมนุษย์เงินเดือน ไม่ได้มีเงินเหลือเก็บมากมาย ลำพังหาใช้พอใช้ในแต่ละเดือน ไม่ต้องเป็นหนี้สินก็บุญแล้ว เวลาผ่านไปนับสิบปีจนเงินเดือนเราสูงขึ้น เราพอที่จะชดใช้หนี้นั้นได้ ที่สำคัญเราต้องยอมรับว่าหนี้นั้นเป็นหนี้กรรมของเราเองโดยที่ไม่มีจิตอกุศล คิดโกรธเคืองพี่สาวและพี่เขยเลย ทุกวันนี้ มีความสุขดีมากเลยคะ
แม้จะต้องใช้หนี้นั้นก็ตาม ก็ไม่เป็นทุกข์อีกต่อไป สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างเป็นสุข ทำงานรับเงินเดือนไป มีส่วนหนึ่งไว้ใช้ ส่วนหนึ่งให้แม่ ส่วนหนึ่งใช้หนี้และอีกส่วนหนึ่งไว้ทำบุญกุศล เชื่อเถอะค่ะ ธรรมะเค้าจะจัดสรรให้เองค่ะ ผิดกับที่ผ่านมา ไม่ยอมรับหนี้กรรม เราก็เป็นทุกข์อยู่อย่างนั้น นึกถึงทีไร ก็เสียสุขภาพจิตเมื่อนั้น กรณีของท่าน ถ้าคิดว่า มันเป็นกรรมของเราที่ต้องมาชดใช้กันในชาตินี้ ยังไงเราก็ต้องถูกยืมเงินไปตลอดอยู่ดี สู้คิดบวกว่า จะทำอย่างไรดี และหาทางแก้ไขจะดีกว่า เช่น ช่วยคิดแนะนำงานเสริมรายได้เพิ่มอีกทางให้กับญาติเรา หรือแนะนำเรื่องการใช้จ่ายอย่างไรให้เพียงพอ ไม่ฟุ่มเฟื่อยและรู้จักเก็บออมด้วยก็จะดี อ้อ ที่สำคัญต้องแผ่เมตตาให้กับญาติเราด้วยจิตที่เป็นกุศล ให้เค้าช่วยเหลือตัวเองได้ และไม่มาเบียดเบียนเราให้เราเดือดร้อนอีกต่อไป ซึ่งดิฉันก็ทำมาแล้ว ทุกวันตลอดเวลาที่ยอมรับหนี้โดยสดุดีนั้น และได้ผลดีอย่างที่เล่าแล้วเบื้องต้นคะ จึงขอแนะนำให้ท่านเป็นวิทยาทาน หากท่านทำแล้วได้ผล จะได้พ้นทุกข์ร้อนเสียที สาธุ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ล้วนเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่เว้นแต่ความทุกข์ร้อนเราท่านประสบอยู่คะ
อบรมเมตตา เจริญเมตตา มีเมตตากับบุคคลอื่น ทรัพย์สมบัติที่เรามี มีตามกุศลกรรมที่ได้ทำไว้แล้วให้ผล รวมทั้งอาศัยเหตุต่างๆ เพื่อที่จะให้ได้ทรัพย์นั้นในชาตินี้ แต่ทรัพย์ทางโลกทั้งหลาย เป็นลาภอันไม่ประเสริฐ เพราะมีแล้วต้องสูญสิ้นไป เป็นของชั่วคราวแต่ก็เป็นที่ยึดถือของกิเลสด้วย ยังใจให้เกิดสุขโสมนัสชั่วขณะเล็กน้อย แต่ก็นำมาซึ่งทุกข์มาก เวลาที่สิ่งนั้นแปรเปลี่ยนไม่เป็นไปตามปรารถนา ขอแนะนำให้ศึกษาพระธรรมและอบรมปัญญา ถ้าปัญญาเกิดขณะใด ขณะนั้นไม่ทุกข์ครับ
ขอเชิญคลิกฟัง >>
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
กามคือรูป เสียง กลิ่น รส...ทรัพย์สมบัติก็เหมือนของที่ขอยืมเขามา เมื่อเจ้าของพบ เขาก็นำทรัพย์นั้นคืนไป ไม่มีอะไรที่เป็นของเรา เราสำคัญเอาเองว่า เป็นทรัพย์สมบัติของเรา จึงต้องทุกข์กับสิ่งที่ติดข้องหวงแหน นั่นก็เป็นธรรมดาของปุถุชน แต่เมื่อเราเข้าใจความจริง เราจะไม่โทษใคร ไม่โทษคนนั้นคน นี้ เมื่อมีเหตุปัจจัยที่อกุศลกรรมให้ผล ทรัพย์นั้นก็ต้องหมดไปเป็นธรรมดา ไม่มีใครทำให้ กรรมที่เราทำเอาไว้แล้วในอดีตต่างหากที่ทำ เพราะฉะนั้น จะพ้นจากวังวนในเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็จนกว่าอกุศลกรรมจะไม่ให้ผลครับ
การช่วยเหลือญาติ เป็นหน้าที่ของอุบาสก อุบาสิกาที่ดี แต่เราควรพิจารณาในความเหมาะสมในการช่วยเหลือแต่ละครั้ง และครั้งต่อๆ ไปครับ ดังเช่นในเรื่องของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ญาติของท่านมาขอความช่วยเหลือ โดยที่ญาติของท่านใช้ทรัพย์ไม่เป็นประโยชน์มีการดื่มสุรา เป็นต้น ญาติมาขอ ท่านก็ให้ จากครั้งแรกที่มาขอท่านก็ให้มากพอสมควร ครั้งที่สองท่านก็ให้ทรัพย์ลดลงเพราะรู้ว่าใช้ทรัพย์ไม่เป็นประโยชน์ และญาติท่าน ก็มาขอบ่อยๆ ท่านก็ให้ลดลงไปตามลำดับ ท่านก็ช่วยครับแต่ช่วยด้วยการพิจารณาเหตุผลหลายๆ อย่าง ตามความเหมาะสมครับ ความเข้าใจพระธรรมเท่านั้นครับ จะทำให้ดำเนินชีวิตด้วยดี และเข้าใจความจริงในสิ่งที่เกิดขึ้น
ขออนุโมทนาครับ
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขออนุโมทนากับคุณ pim2008 กรรมนะวิจิตรอย่างนี้เอง หลายคนคงจะมีจิตใจอย่างนี้ไม่ได้นะ ผมว่า เมื่อผ่านไปแล้วต่อไปคงไม่เป็นนายประกันและกลับมาเป็นอย่างนี้อีก.....
เคยมีประสบการณ์อยู่เหมือนกันกับเรื่องเงินๆ ทองยืมไม่คืน..แถมมายืมอยู่เรื่อยๆ ของในบ้านเขาทีวีเครื่องเสียงเขาเอามาจำนำหมดแต่ไม่มาไถ่ และบอกว่าของพวกนี้เป็นของเขา ดิฉันมาเอาไปไม่ได้ ด้วยว่าเป็นญาติกันก็เลยไม่ทำสัญญาอะไร ก็เลยเอาไปไม่ได้ ตอนแรกโกรธมาก อยากจะฆ่าให้ตาย บังเอิญมีเพื่อนมาเตือนสติ บอกว่า ถ้าเราคิดโกรธใคร ให้มองหาความดีของคนคนนั้นก่อน...ก็มานั่งคิด เมื่อตอนเด็กๆ เขาก็ดูแลเรา เราติดเขาวิ่งตามเขาต้อยๆ ก็บอกเขาว่าไม่เอาแล้วเงินช่างมัน...ของในบ้านดิฉันยกให้ลูกเขา..ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ไม่มายุ่งเงินเราเลย และเขาก็ดีกับดิฉันมากชนิดที่ว่าดิฉันทำอะไรถูกหมดไม่เคยผิดเลย ...ขนาดว่าผิดยังช่วยแก้ให้ ..แตะต้องไม่ได้ ...ปานเทวดา เหมือนประวัติศาสตร์ซ้ำรอย..ลูกเขาติดดิฉันตามก้นต้อยๆ แทน..เอ่อก็ขำดี
จากประสบการณ์ ที่เคยได้รับ ที่จะเป็นคนจิตใจอ่อน ทุกข์มาเราเห็นใจ แต่สุดท้ายกลับเป็นความช่วยเหลือที่เหินห่าง ไม่ใช้หนี้และไม่ติดต่อ แต่เพราะฟังธรรมะการสอนอบรมจิตของท่านอาจารย์ ทำให้คลายความยึดมั่น ทุกอย่างเป็นของชั่วคราวที่ไม่เที่ยง และคิดว่าประเสริฐ ที่ได้เกิดมาในพุทธศาสนา ฉะนั้น เราต้องไม่เขลาและมีเหตุและผลในทุกขณะของการพบเจอปัญหา ยากนะต้องใช้สติและหลักธรรมนำพา คนเขียนเองบางทีกว่าจะหลุดพ้นแทบแย่เหมือนกัน ในการเจอมรสุมชีวิตแต่ละครั้งผ่านมาด้วยดี สติสำคัญ