สภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา
ข้อความบางตอนจากการบรรยายธรรมโดยท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์
คุณอดิศักดิ์ สำหรับเรื่องที่ปรากฏทางตา น่าเห็นใจคนที่ยังไม่ได้ระลึก เพราะว่า สำหรับตัวผมเองที่ได้ปฏิบัติมา กว่าจะระลึกได้ก็นานแสนนาน และเป็นเรื่องอนัตตาจริงๆ สำหรับท่านผู้ถามเมื่อกี้นี้ ก็เคยสนทนาธรรมกัน ผมก็พยายามอธิบาย เวลาระลึกนี่เป็น อนัตตาจริงๆ ระลึกโดยเราไม่รู้เลย มันเกิดมาโดยที่มีชีวิตก่อนๆ หน้านั้น 20-30 ปี ก่อนที่เรายังไม่ได้ศึกษาธรรม นั้นก็ไม่เคยระลึก ฟังอาจารย์มาก็เยอะแยะ แต่กลับไประลึกที่ต่างประเทศคราวนี้เอง เมื่อวานพึ่งมาบอก พึ่งระลึกสิ่งที่ปรากฏทางตา บอกว่าไประลึกที่ลอนดอน
ท่านอาจารย์ นี่ก็เป็นตัวอย่าง ทีแสดงให้เห็นว่า แม้จะได้ฟังเรื่องของตา หู....กาย ใจ สติควรที่จะได้เกิดขึ้น เมื่อไรก็ได้ ที่ไหนก็ได้ ขณะไหนก็ได้ ระลึกรู้ลักษณะของรูปธรรม หรือ นามธรรม อะไรก็ได้ แต่ก็ไม่มีใครบังคับได้ แม้แต่ท่านที่ได้ฟังแล้ว ที่กรุงเทพฯ นานนะคะ ทางตา สติไม่เคยเกิด แต่พอไปถึงที่ประเทศอังกฤษ ระลึกทางตา แสดงให้เห็นว่า สภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาจริงๆ ไม่ต้องกะเกณฑ์ หรือ คอย ว่าใหัระลึกที่มุมนั้น มุมนี้ ที่เงียบๆ หรือ ที่พลุกพล่าน หรือว่าที่ไหนเลย แล้วแต่สติฯ แล้วสำหรับท่านผู้นั้น ท่านก็บอกว่าไม่นานเลย ก็เป็นความจริง ข้อสำคัญเวลาที่สติเกิด ระลึกที่สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แล้วดับไป ให้ทราบว่าไม่ใช่มีปัจจัยบ่อยๆ ที่จะให้เกิดระลึกอย่างนั้น จะมีปัจจัยบ่อยๆ หรือไม่มีปัจจัยบ่อยๆ ก็ตาม อย่าลืมความจริงที่ว่าสภาพธรรมทั้งหลายเป็น อนัตตา แล้วอย่าให้ความอยาก ความปรารถนา ความต้องการเกิดขึ้น ที่จะให้สติเช่นนั้นเกิดขึ้นอีก เพราะว่าบางท่านคอยสังเกต ถ้าเป็นในขณะอย่างนั้น เผื่อว่าจะเกิดอีก ก็พยายามที่จะให้อยู่ในสี่งแวดล้อมอย่างนั้น แต่นั่นเป็นลักษณะของความหวัง เป็นลักษณะของโลภะที่แทรกเข้ามา เพื่อที่จะไม่ให้รู้ว่า สภาพธรรมทั้งหลายเป็น อนัตตา
เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะรู้ว่าสภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาจริงๆ ต้องเป็นผู้ที่อดทนจริงๆ อดทนแม้ว่าสติเจะกิดขึ้นครั้งหนึ่ง แล้วหายไปนาน หรือว่าน้อยครั้งเสียเหลือเกิน แต่ก็ต้องรู้ว่า สติเป็นอนัตตา วันหนึ่งวันใด สติอาจจะเกิดขึ้นอีกก็ได้ แต่เป็นผู้ที่ขวนขวาย ที่จะหาปัจจัย ที่จะปรุงแต่งให้สติเกิด การฟังพระธรรมเป็นสี่งที่จำเป็นตลอดชีวิต ไม่ใช่เฉพาะชาตินี้ชาติเดียว เพราะว่าบางท่านอาจจะถามว่า จะต้องฟังนานสักเท่าไร คำตอบก็คือตลอดชีวิตค่ะ และไม่ใช่ชาตินี้ชาติเดียวด้วย กี่กัปป์ก็ตามแต่ ที่มีโอกาสที่จะได้ฟัง เพราะว่่าไม่มีใครรู้ว่าชาติไหนจะได้ฟัง เพราะว่ากุศลกรรมมที่ไม่ประกอบด้วยปัญญามี เมื่อกุศลกรรรมนั้นให้ผล หลังจากสี้นชีวิตจากโลกนี้แล้วปฏิสนธิจิตไม่ประกอบด้วยปัญญาเจตสิก เพราะว่าเป็นผลของกุศล ที่ไม่ได้ประกอบด้วยปัญญา เพราะฉะนั้น ก็ยากที่จะเป็นผู้ที่สนใจในพระธรรม หรือว่าเป็นผู้ที่สามารถจะเจริญงอกงามในพระธรรมจนกระทั่งถึง รู้แจ้งในอริยสัจจธรรมได้
เพราะฉะนั้น กุศลใดที่เป็นกุศลที่เกี่ยวกับการอบรมเจริญปัญญา เมื่อมีโอกาสทีจะเจริญได้ ก็ควรที่จะเจริญให้มากที่สุด เพราะว่าชาติต่อไปก็ไม่แน่ว่า เป็นผลของกรรมใด
ขอบพระคุณค่ะ ที่นำมาให้อ่านบ่อยๆ เนืองๆ เพื่อเตือนใจ
ขออนุโมทนาค่ะ
กว่าจะฟังธรรมะให้รู้ว่าเป็นธรรมะ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ จริงเลยนะครับ ธรรมะเป็นสิ่งต้องศึกษาด้วยความละเอียด และตรง บทความนี้ช่วยให้เราไม่ลีมว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนัตตา ไม่เว้นเลยแม้แต่ตอนที่สติจะเกิด ก็เป็นอนัตตา บังคัญบัญชาไม่ได้ ดังนั้น สติจะเป็นเราที่ทำให้เกิดไม่ได้ แล้วแต่เหตุปัจจัย เหตุปัจจัยที่จะทำให้สติเกิดได้ คือ การฟังธรรมที่เป็น พระสัทธรรมจริงๆ เท่านั้นครับ ที่จะเป็นเหตุปัจจัย ให้สติระลึก
ขอบคุณผู้โพสด้วยครับ บทความนี้ประโยชน์สำหรับทุกคนจะนำไปเทียบกับการเจริญสติในชีวิตประจำวันของเราเองว่า ถูกต้องรึไม่
ขอขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ช่วยเล่าให้ฟังได้หรือไม่ครับว่าขณะระลึกทางตานั้น ทราบได้อย่างไรว่ากำลังระลึกหรือมีขั้นตอนการเกิดอย่างไร และขณะระลึกนั้นเป็นเราระลึกหรือปัญญาระลึกครับ
ขอบคุณครับ
ระลึกทางตา สิ่งที่เป็นอารมณ์คือสิ่งที่ถูกรู้ คือ หลายๆ สี ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่มีชื่อ ไม่รู้อะไร เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง คือสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏๆ แล้วดับทันที
ต้องมีสภาพรู้ คือจักขุวิญญาณ หรือ เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏ คือ เห็นหลายๆ สี ที่กำลังปรากฏ ยังไม่ได้นึกถึง สีหนึ่งสีใด ยังไม่ได้เรียกชื่อ ไม่ได้คิดถึงรูปร่างสัณฐาน
ไม่ได้คิดถึงความหมายหรือเรื่องราวของสิ่งที่ปรากฏ
ขณะระลึก สติระลึกพร้อมทั้งปัญญาณุรู้ ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
ไม่มีเราที่ระลึก สติปัญญาทำหน้าที่ของสติและปัญญา คือระลึกรู้ ไม่มีเรา สติปัญญาเองก็เป็น อนัตตา
เรื่องนี้ตอบสั้นๆ ยากที่จะเข้าใจ
ขออนุโมทนา ครับ