อาโปกสิณ
วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๑ ตอน ๒ - หน้าที่ 192
เสสกสิณนิเทศ
อาโปกสิณ
ต่อไปนี้เป็นวิตถารกถาในอาโปกสิณ ในลำดับแห่งปฐวีกสิณ ก็แลพระโยคาวจรผู้ใคร่จะเจริญปฐวีกสิณ เป็นผู้นั่งให้สบายฉันใดเล่า แม้ผู้จะเจริญอาโปกสิณก็พึงเป็นผู้นั่งให้สบายฉันนั้น แล้วถือเอานิมิตให้น้ำเถิด บททั้งปวงว่า กเต วา อกเต วา (นิมิตที่แต่งขึ้นก็ดี ที่มิได้แต่งขึ้นก็ดี) เป็นต้น บัณฑิตพึง (นำมากล่าว) ให้พิสดาร (ตามนัยที่กล่าวแล้วในปฐวีกสิณ) อนึ่ง บททั้งปวงนั้นพึง (นำมากล่าว) ให้พิสดารในอาโปกสิณนี้ ฉันใด ในกสิณทั้งปวงก็พึงให้พิสดารฉันนั้นเถิด เพราะว่าต่อนี้ไป ข้าพเจ้าจักไม่กล่าวคำ ( กเต วา ฯ เป ฯ วิตฺถาเรตพฺพํ ) เพียงเท่านี้อีก กล่าวแต่คำที่แปลกออกไป
แม้ในอาโปกสิณนี้ นิมิตในน้ำที่มิได้แต่ง คือ (น้ำ) ในสระ ในบึง หรือในทะเล ในสมุทรก็ตาม ย่อมเกิดขึ้นได้แก่พระโยคาวจรผู้มีบุญ มีอธิการได้สร้างไว้ในปางก่อนแท้ ดุจพระจูฬสิวเถร ฉะนั้น ได้ยินมาว่า เมื่อท่านผู้นั้นละลาภสักการะ ตั้งใจว่าจัก (ไป) อยู่อย่างสงัดขึ้นเรือที่ท่ามหาติตถะไปชมพูทวีป มองดู (น้ำใน) มหาสมุทรในระหว่าง (ทาง) กสิณนิมิตอันมีส่วนเปรียบแห่ง (น้ำใน) มหาสมุทรนั้น ได้เกิดขึ้น (ส่วน)
พระโยคาวจรผู้มิได้สร้างอธิการไว้ เมื่อจะหลีกละกสิณโทษทั้ง ๔ อย่าพึงถือเอาน้ำที่มีสีเขียว เหลือง แดง ขาว สีใดสีหนึ่ง ส่วนน้ำ (ฝน) ใด (ตกลงมา) ยังไม่ถึงพื้นดิน บุคคลรองเอาในอากาศด้วยผ้าสะอาด หรือน้ำอื่นที่ใสสะอาดอย่างนั้นก็ได้ พึงบรรจุน้ำนั้นให้เต็มบาตรหรือกุณฑี (หม้อน้ำ) เสมอขอบปากแล้ว (นำไป) ตั้งในที่ว่างที่กำหนด มีประการดังกล่าวแล้ว นั่งให้สบาย ไม่ต้องพิจารณาสี (ของน้ำ) ไม่ต้องใส่ใจลักษณะ (ของมัน) พึงทำให้มันเป็นสิ่งเสมอกันกับที่อาศัย (ของมัน คือนึกเสียว่าสีนั้น เป็นอันเดียวกันกับน้ำซึ่งเป็นที่อาศัยของมัน) ตั้งจิตไว้ในบัญญัติธรรม (คือโลกโวหาร) ตามที่เป็นคำใช้กันมาก ภาวนาไปว่า อาโป อาโป โดยที่เป็นนามเด่นในบรรดานามของน้ำทั้งหลาย เช่น อมฺพุ อุทกํ วาริ สลิลํ เมื่อเธอภาวนาไปอย่างนั้น นิมิตทั้ง ๒ ย่อมจะเกิดขึ้นตามนัยที่กล่าวแล้วนั้นโดยลำดับแต่ว่าในอาโปกสิณนี้อุคคหนิมิตจะปรากฏเหมือนว่ายังไหวอยู่ ถ้าน้ำนั้นเป็นน้ำเจือด้วยฟองด้วยต่อม อุคคหนิมิตก็จะปรากฏเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน ชื่อว่ากสิณโทษปรากฏ ส่วนปฏิภาคนิมิตปรากฏเป็นดวงนิ่งแจ๋วเหมือนพัดใบตาลแก้วที่คนวางไว้ในอากาศ และเหมือนวงแว่นแก้วฉะนั้น พร้อมกับความปรากฏแห่งปฏิภาคนิมิตนั้นแหละพระโยคาวจรนั้น ก็จะบรรลุอุปจารฌาน และจตุกฌาน ปัญจกฌานโดยนัยที่กล่าวแล้วนั้นแล
อาโปกสิณ จบ