ชื่อว่า...เป็นอันนำออกดีแล้ว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้าที่ ๕๗๑ - ๕๗๓
[๑๑๘๐] เมื่อเรือนถูกไฟไหม้ บุคคลผู้เป็นเจ้าของ ขนเอาสิ่งของอันใดออกได้ สิ่งของอันนั้น ย่อมเป็นประโยชน์แก่เจ้าของนั้น แต่ของที่ถูกไฟไหม้ ย่อมไม่เป็นประโยชน์แก่เขา.
[๑๑๘๑] โลกถูกชราและมรณะเผาแล้ว อย่างนี้ บุคคลพึงนำออกเสียด้วยการให้ทาน ทานที่ให้ แล้วจะน้อยก็ตาม มากก็ตาม ชื่อว่าเป็นอัน นำออกดีแล้ว.
โลก คือ สังขารธรรม ไม่พ้นไปจากจิต เจตสิก รูป ที่กำลังเกิดดับสืบต่ออยู่ในขณะนี้ ซึ่งก็ไม่ใช่บ้านเรือน แต่เป็นร่างกายนี้ที่ถูกชราและมรณะเผา การให้ทานจึงเป็นประโยชน์ เป็นการนำออกด้วยดียามบุคคลนั้นได้จากโลกนี้ไปแล้ว โลกไม่ เพียงแต่ถูกชราและมรณะเผาเท่านั้น ยังถูก ราคะ โทสะ โมหะเผาอยู่ในชีวิตประจำวัน การฟังธรรมเป็นเหตุให้กุศลธรรมเจริญขึ้น เช่น ในขณะนี้ที่ฟังธรรมอยู่ เริ่มนำกุศลธรรมออกดีแล้ว นำความรู้ออกจากความไม่รู้ซึ่งถูกเผาอยู่ทุกขณะ...
แต่กุศลที่ประเสริฐกว่าทาน...ก็คือปัญญา
เผากิเลสให้เหือดแห้งไป...เผาด้วยปัญญา
...ขออนุโมทนาค่ะ...
ทาน คือ การยังประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต ด้วยการพิจารณาให้เห็นเหตุแห่งความเจริญและความเสื่อมของโลกธรรมที่ปรากฎในปัจจุบันขณะแก่เรา อันเป็นเหตุให้ถอด ถอนเสียสิ้นซึ่งความยินดีไม่ยินดี พอใจ ไม่พอใจของปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น จึงชื่อว่า เป็นการนำออกดีแล้ว ซึ่งจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับ ศรัทธา (อันประกอบแล้วด้วยปัญญา) และความเพียร (ตบะอันเป็นเครื่องเผากิเลส)
สังขารธรรม คือ ลักษณาการแห่งความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ของปัจจุบันขณะจิตอย่างต่อเนื่องในวัฏฏะสงสาร (การดำเนินไปแห่งนามขันธ์ โดยอาศัยรูปขันธ์ที่เกิดดับตามเหตุปัจจัยและมีความเสื่อมไปอยู่เป็นนิจเป็นปัจจัยปรุงแต่ง)
การใช้ชีวิตโดยเปล่าประโยชน์ปราศจากธรรมเป็นเครื่องดำเนินไป จึงเป็นโมฆะชีวิต เราทุกคนจึงควร ทำทาน โดยการยังประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อมด้วย สติ-ปัญญา เพื่อนำตน ยกตนให้ห่างจากความเป็นโมฆะบุรุษหรือได้ชื่อว่าเป็น โมฆะชีวิต จึงชื่อว่า เป็นการนำออกที่ดีแล้ว ประเสริฐแล้ว (ยังกุศลธรรมทั้งปวงที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น และขจัดหรือนำออกไปเสียซึ่งอกุศลธรรมทั้งปวงที่เกิด-มีแล้วให้หมดไป สิ้นไป)