ฝันก็คือ ขณะที่คิดถึงสิ่งที่ปรากฏ
ขณะนี้เห็นสิ่งต่างๆ สัตว์ บุคคล ก็เพราะคิด ... ขณะที่เห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นวิถีจิตที่เกิดทางจักขุทวาร หลังจากนั้นก็คิดเป็น สัตว์ บุคคล สิ่งของ เรื่องราวต่างๆ ซึ่งเกิดทางมโนทวาร ขณะนี้ที่เห็นสิ่งต่างๆ เหมือนมีจริง ไม่ดับเลย ... ก็เหมือนขณะที่ฝัน ไม่มีอะไรที่เป็นจริงเลย ไม่มีอะไรที่เป็นสาระ ท่านพระอรหันต์ท่านดับกิเลสหมดสิ้น ดับความติดข้องไม่เหลือ ท่านจึงไม่มีฝันเกิดขึ้น สำหรับผู้ที่ยังฝันอีกก็คือผู้ที่ยังมีความติดข้องอยู่ ซึ่งก็คือ โลภะ
ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ เราจะไม่รู้เลยว่า ขณะที่เห็นไม่ใช่ขณะที่คิด และขณะที่เห็น ก็เห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาซึ่งเป็นสภาพที่มีจริงๆ เพราะความเกิดดับของจิตที่รวดเร็วมากจึงคิด ... ปรากฏเกิดขึ้นเป็นนิมิตต่างๆ เป็นคนเป็นสัตว์ เป็นเรื่องราวต่างๆ มากมายซึ่งไม่มีอยู่จริงๆ ... เหมือนในความฝัน
ถ้าไม่มีผู้บรรยายพระธรรมที่มีความลึกซึ้ง ละเอียด รู้ตามได้ยากจริงๆ ดั่งท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ พวกเราคงไม่ได้เข้าใจถึงความจริงของพระธรรม ท่านเป็นผู้ให้แสงสว่าง คือให้ความเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงซึ่งก็คือ ธรรมะ
... ขอกราบเท้าอนุโมทนาท่านอาจารย์ค่ะ ...
ธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏอยู่ขณะนี้ เห็นขณะนี้เป็นธรรมะ สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นธรรมะ โดยนัยเดียวกัน ได้ยินเสียง ได้กลิ่น...และคิด ก็เป็นธรรมะ ไม่ใช่เรา ถ้าไม่มีความเข้าใจสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏอยู่ขณะนี้ ก็ไม่สามารถประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมได้...ไม่สามารถที่จะบรรลุอริยสัจจธรรมได้