ธรรม คือ เดี๋ยวนี้

 
kanchana.c
วันที่  7 พ.ย. 2553
หมายเลข  17486
อ่าน  1,892

เมื่อวันเสาร์ที่ ๖ พ.ย. ๕๓ ในชั่วโมงสนทนาพระสูตรนั้น ทางมูลนิธิฯ ได้นำทัตวาอวชานาติสูตร (ว่าด้วยคนเลว ๕ จำพวก มีบุคคลผู้ให้แล้วดูหมิ่นเป็นต้น) มาสนทนา เมื่ออ่านพระสูตรและอรรถกถาจบแล้ว ก็มีผู้ถามปัญหามากมาย มีปัญหาหนึ่งที่ถามว่า บุคคลผู้เขลาหลงงมงาย คือ ผู้ไม่รู้กุศลธรรม อกุศลธรรม ย่อมไม่รู้ธรรมที่มีโทษและไม่มีโทษ ฯลฯ เป็นอย่างไร ท่านอาจารย์ตอบว่า ธรรมคือเดี๋ยวนี้ คือ ระลึกศึกษาเพื่อรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ เพราะทุกอย่างเป็นธรรม ผู้ถามก็ถามต่อว่า อย่างนั้นก็จบ ไม่มีอะไรจะถามต่อ เพราะทุกอย่างเป็นธรรม ท่านอาจารย์ตอบว่า จะจบได้อย่างไร เมื่อยังไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ มีผู้สนับสนุนอีกท่านพูดว่า ถ้าไม่มีเรื่องราวของสภาพธรรมเลย ก็รู้สึกแห้งแล้งเหมือนรับประทานอาหารแล้วไม่มีเครื่องปรุง ท่านอาจารย์ตอบว่า ปรุงให้มีกิเลสเพิ่มขึ้นอีกหรืออย่างไร ต้องการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หรือต้องการรับประทานเครื่องปรุง ผู้สนับสนุนพูดต่อว่า ถ้าเป็นในลักษณะนั้นแล้ว รู้สึกว่าธรรมอยู่สูงสุดเอื้อม ไม่อาจจะไปถึงได้ และฟังแล้วยังรู้สึกแห้งๆ ท่านอาจารย์ตอบว่า ให้รู้ว่าธรรมเป็นเรื่องยาก เพราะละเอียดและลึกซึ้ง เพื่อจะได้ไม่ตั้งความหวังว่าจะประจักษ์แจ้งสภาพธรรมอย่างรวดเร็ว เอาแค่เข้าใจสิ่งที่ฟังขณะนี้ก่อนว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ก็พอ เพื่อจะได้ระลึกศึกษาลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ ส่วนเมื่อฟังแล้วจะรู้สึกแห้งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับระดับขั้นของปัญญา ถ้ามีปัญญา ก็จะรู้ว่า การระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เมื่อฟังแล้วก็จะเกิดชุ่มชื่นใจ ฯลฯ ข้อความนี้สรุปจากความทรงจำ อาจจะคลาดเคลื่อนบ้าง แต่เนื้อหาใจความที่สัญญาจดจำได้ มีเท่านี้ค่ะ นึกถึงสภาพจิตของตนเองเมื่อเร็วๆ นี้ก็เช่นกัน เมื่อฟังท่านอาจารย์ตอบปัญหาว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ให้รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ก็รู้สึกไม่ค่อยชอบใจ (ตามกิเลสของตน) อยากฟังเรื่องราวเหมือนอย่างที่ท่านเคยบรรยายไว้ในรายการ “แนวทางเจริญวิปัสสนา” ซึ่งท่านก็บรรยายมามากแล้ว แต่ก็อดทนฟังต่อมาเรื่อยๆ ตอนนี้เข้าใจแล้วว่า เรื่องราวของพระสูตรนี้ก็มีปรากฏในพระไตรปิฎกและอรรถกถาและได้นำมาอ่านโดยละเอียดแล้ว แต่การที่จะเข้าใจสภาพธรรมจริงๆ นั้น ต้องระลึกศึกษาลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ จึงจะเข้าใจได้ และผู้ที่จะกล่าวพร่ำสอนให้ระลึกว่า ทุกอย่างเป็นธรรมนั้น คงมีไม่กี่คนหรอกในโลกปัจจุบัน (ที่เรารู้จัก ก็มีเพียงท่านอาจารย์ท่านเดียวเท่านั้น) เพราะผู้นั้นจะต้องประจักษ์แจ้งด้วยตนเองว่า ทุกอย่างเป็นธรรม มีสภาพลักษณะปรากฏให้ระลึกศึกษาอยู่ตลอดเวลา แต่ที่ไม่ได้ระลึกศึกษา เพราะไม่รู้จริงๆ ว่าเป็นธรรม ส่วนเรื่องราวของธรรมนั้น เมื่อฟังแล้วก็ลืมไป อย่างมีอยู่ครั้งหนึ่ง ท่านอาจารย์ให้วิทยากรเล่าเรื่องสุปปพุทธกุฏฐิ ไม่มีผู้ใดจำได้ คงเป็นตัวอย่างที่ท่านยกให้เห็นจริงๆ ว่า เรื่องราวของธรรมนั้นๆ เมื่อฟังแล้วก็ลืมไป แต่ถ้าเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมก็จะเป็นความเข้าใจ คือ ปัญญาซึ่งจะสะสมเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ ที่ท่านนำมาความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในพระธรรมของท่านมาพร่ำสอนบ่อยๆ เนืองๆ ท่านไม่ปล่อยให้เป็นไปตามกิเลสของคนฟัง ที่อยากได้ยินเรื่องราวต่างๆ เพราะเรื่องราวต่างๆ นั้น หาอ่านได้จากพระไตรปิฎกและอรรถกถาอยู่แล้ว รู้แล้วก็ลืม ส่วนเรื่องของปัญญานั้น ต้องสั่งสมจากการพิจารณาพระธรรมที่ฟังเข้าใจแล้ว และระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ คำสุภาษิตของท่านอาจารย์ช่างน่ารื่นรมย์ยิ่งนัก


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 8 พ.ย. 2553

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

" ... ท่านอาจารย์ตอบว่า ธรรมคือเดี๋ยวนี้ คือ ระลึกศึกษาเพื่อรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ ... "

" ... การที่จะเข้าใจสภาพธรรมจริงๆ นั้น ต้องระลึกศึกษาลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ จึงจะเข้าใจได้ และผู้ที่จะกล่าวพร่ำสอนให้ระลึกว่า ทุกอย่างเป็นธรรมนั้น คงมีไม่กี่คนหรอกในโลกปัจจุบัน (ที่เรารู้จัก ก็มีเพียงท่านอาจารย์ท่านเดียวเท่านั้น) ... "

...

ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chaiyut
วันที่ 9 พ.ย. 2553

ขออนุโมทนาท่านเจ้าของกระทู้ครับ ท่านอาจารย์เป็นกัลยาณมิตรที่เตือนสติผู้ฟังอยู่เสมอว่า ควรถือเอาประโยชน์สูงสุดจากพระธรรม คือ การเข้าใจว่าธรรมมีในขณะนี้ ทั้งหมดเป็นธรรม และธรรมเป็นอนัตตา แต่ส่วนใหญ่กิเลสของเราเองที่ไม่ชอบฟังอะไรซ้ำๆ ชอบคำตอบแบบตรงกับใจ แต่ไม่ชอบคำตอบแบบตนถูกเตือน ทั้งๆ ที่คำเตือนคำสอนของท่านนั้น เป็นความหวังดีที่ยิ่งกว่าการพูดเอาอกเอาใจ ดียิ่งกว่าพูดเพื่อสนองความต้องการคำตอบของผู้ฟัง ซึ่งพอได้คำตอบแล้ว ก็อาจจะคิดว่าได้เข้าใจแล้ว แต่ก็ไม่แล้ว เพราะลืมอยู่เสมอว่า เป็นธรรม การสนทนาอภิธรรมที่ถูกต้อง จริง และชัดเจนไม่แปรผันไปสู่โลกของเรื่องราวอื่นๆ โดยง่าย สมัยนี้ก็คงจะมีแต่ที่มูลนิธิฯ ที่เดียวนำโดยท่านอาจารย์ หายากเหลือเกินจริงๆ เจอแล้วก็ไม่ควรทอดทิ้งประโยชน์ตรงนี้ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
สุภาพร
วันที่ 9 พ.ย. 2553

ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 9 พ.ย. 2553

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
choonj
วันที่ 9 พ.ย. 2553

กระทู้นี้ผมเห็นว่า เป็นกระทู้ที่น่าทำความเข้าใจมาก เมื่อเข้าใจแล้วก็จะเป็นการฟังธรรมให้เข้าใจเลยที่เดียว ก็ต้องเริ่มจากพระสูตรที่ว่าด้วย บุคคล ๕ จำพวก สั้นๆ คือ ให้แล้วดูหมิ่น ๑ ดูหมิ่นเพราะอยู่ร่วมกัน ๑ บุคคลเชื่อง่าย ๑ บุคคลโลเล ๑ และบุคคลงมงาย ๑ เมื่อมีการนำพระสูตรมาสนทนา ผู้ถามส่วนใหญ่ ก็จะทำการสนทนาโดยการถามให้รู้ถึงบุคคลแต่ละจำพวก โดยไม่รู้ถึงความลึกซึ้งของพระสูตร เพราะถ้าลองคิดดูให้ดีแล้ว และถ้าไม่ใช่ความลึกซึ้งแล้ว พระพุทธเจ้าไม่จำเป็นที่แสดง ถึงบุคคล ๕ จำพวกนี้ ทางโลกก็สามารถทำเข้าใจได้ ทีนี้ความลึกซึ้งคืออะไร ก็คือให้รู้ว่าเป็นธรรม การรู้ว่าเป็นธรรมนั้นไม่ใช่ว่า ทุกสิ่งเป็นธรรมแล้วก็จบหมดแค่นี้หรือ รู้สึกว่าแห้งแล้ง แม้การที่กำลังกล่าวว่าทุกสิ่งเป็นธรรมแล้วก็จบ ไม่มีอะไรจะถามต่อ ก็เป็นธรรมแล้ว ไม่จบ มีธรรมแล้ว จะจบได้อย่างไร ส่วนผู้ที่กล่าวสนับสนุนว่า แห้งแล้งนั้น ท่านกล่าวโดยเจตนา ให้ผู้ฟังได้ฟังเข้าใจว่าเป็นธรรมเพื่อให้โอกาส อ. ได้อธิบาย อ. มีคำถามว่า พระสูตรอาทิตย์ที่แล้ว และอาทิตย์ก่อนๆ ได้กล่าวถึงเรื่องอะไร มีใครจำได้มั้ง แน่นอนไม่มีใครจำได้ แต่ถ้าเข้าใจเป็นธรรมแล้ว ทุกคนก็จะจำได้ เพราะฉะนั้น ผู้ถามส่วนมากก็จะถามตามข้อความที่มีอยู่ในพระสูตร และเพราะมีตัวตนเป็นทุนอยู่แล้ว ก็จะเป็นไปตามทางโลก โดยไม่ได้คำนึงว่าเป็นธรรม ก็จะไม่เข้าใจความลึกซึ้งของพระสูตร เพราะถ้าเข้าใจเป็นธรรมแล้ว ก็จะเข้าใจได้ถึงบุคคลทั้ง ๕ จำพวก ก็จะเป็นการฟังธรรมให้เข้าใจ เป็นธรรม ไม่ใช่เรา....ฯ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 9 พ.ย. 2553

การศึกษาพระธรรม เพื่อความเข้าใจธรรมะตามความเป็นจริง ... ศึกษาบัญญัติเพื่อเข้าใจปรมัตถธรรม ... เป็นสัมมาปฏิปทาแต่ด้วยฉันทะหรือปัญญาที่สะสมมามีความแตกต่างบางคนต้องการคำอธิบายมาก และบางคนต้องการคำอธิบายน้อย ... แต่ ... อย่างไรก็ตาม ท่านอาจารย์ได้กล่าวตักเตือนสิ่งที่เป็นประโยชน์สูงสุดเสมอ ... ขอกราบอนุโมทนาความเมตตาของท่านอาจารย์และสหายธรรม ... ทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
สมศรี
วันที่ 11 พ.ย. 2553

กว่าจะเข้าใจว่าธรรมคือเดี๋ยวนี้ ก็ใช้เวลาแสนนาน เป็นเพียงการเข้าใจเรื่องราว ยังเป็นตัวเราอยู่และยังหลงลืมสติอีก ต้องใช้เวลาฟังธรรมต่อไปอีกบ่อยๆ เนื่องๆ โดยไม่หวัง ความเข้าใจธรรมที่ลึกซึ้งไม่ได้อยู่ที่ความหวัง กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่เตือนสติเนืองๆ รวมทั้งขอบพระคุณและขออนุโมทนาท่านกัลยาณมิตรทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
khampan.a
วันที่ 12 พ.ย. 2553

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
prakaimuk.k
วันที่ 13 พ.ย. 2553

เมื่อฟังและเข้าใจพระธรรมแล้ว จะทำให้กิดความชุ่มชื่นใจ ชีวิตไม่แห้งแล้ง ขออนุโมทนาค่ะ ...

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
เมตตา
วันที่ 14 พ.ย. 2553

ท่านอาจารย์ตอบว่า ให้รู้ว่าธรรมเป็นเรื่องยาก เพราะละเอียดและลึกซึ้ง เพื่อจะได้ไม่ตั้งความหวังว่าจะประจักษ์แจ้งสภาพธรรมอย่างรวดเร็ว

เอาแค่เข้าใจสิ่งที่ฟังขณะนี้ก่อนว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ก็พอ เพื่อจะได้ระลึกศึกษาลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ

กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
jipoam
วันที่ 24 ม.ค. 2554

" ... ท่านอาจารย์ตอบว่า ธรรมคือเดี๋ยวนี้ คือ ระลึกศึกษาเพื่อรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ ... "

สาธุ สาธุ __/l__ ชาตินี้ ด้วยผลบุญใดหนอ เราจึงพบได้ฟังประโยคนี้ทันก่อนตายด้วยผลบุญที่ยังพอมีอยู๋ จะขอตั้งใจศึกษาพระธรรมให้ยิ่งๆ ขึ้นต่อไป สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
เซจาน้อย
วันที่ 24 ม.ค. 2554
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
intira2501
วันที่ 27 ม.ค. 2554

ความจำกับความเข้าใจ ต่างกันมาก แต่ก็เข้าใจธรรมได้ยากเหลือเกิน แต่ก็อนุโมทนาในปัญญาของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
peem
วันที่ 8 ส.ค. 2557

ขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ