ตราบใดที่ความเห็นถูกยังไม่เกิด จะให้ออกจากข้อปฏิบัติที่ผิดเป็นไปไม่ได้
ข้อความบางตอนจากการบรรยายธรรมโดยท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ท่านอาจารย์ มีท่านผู้ฟังท่านหนึ่ง ท่านไม่พิจารณาสภาพธรรมที่ปรากฏตามปกติ ทางตา ..... ทางกาย ทางใจ ขณะที่นั่ง นอน ยืน เดิน ท่านเข้าใจว่า ขณะนั้นท่านรู้ลักษณะของ วิการรูป ท่านเข้าใจว่าขณะนั้นท่านรู้ลักษณะของ สุขุมรูป รูปละเอียด โดยที่ไม่ได้มีการศึกษาให้เข้าใจตามความเป็นจริงว่า เพราะเหตุใด รูปที่ปรากฏทางตา ..... กาย ซึ่งมีทั้งหมด ๗ รูป เป็นที่ปรากฏอยู่เป็นประจำ ส่วนรูปอื่นนั้น ไม่ได้ปรากฏเลยตามปกติ ทั้งๆ ที่มีแต่ไม่ปรากฏ
เพราะฉะนั้น เมื่อกำลังมีสี่งที่กำลังปรากฏทางตา แต่ไม่อบรม เจริญปัญญาที่จะรู้ความจริงของรูปหยาบ เพราะว่าปรากฏทางตา จึงเป็นรูปหยาบ แล้วจะรู้ สุขุมรูป รูปที่ละเอียดได้อย่างไร คือ ไม่พิจารณาในเหตุผลหลายๆ อย่างที่จะประกอบกัน เพราะฉะนั้น ก็ทำให้ท่านผู้นั้นมีความรู้สีก อี่มอก อี่มใจ เข้าใจ ว่าตัวเองนั้นได้รู้ลักษณะ เข้าใจว่าตัวเองนั้นได้รู้ลักษณะของวิการรูปทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้ รูปที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้ ตามความเป็นจริง
รูปที่ปรากฏทางตา คือ วัณณรูป
รูปที่ปรากฏทางหู คือ สัททรูป
รูปที่ปรากฏทางจมูก คือ กลี่น คันธรูป
รูปที่ปรากฏเมื่อกระทบลี้น คือ รสารูป
รูปที่ปรากฏทางกาย คือ โผฏฐัพพะ ได้แก่สภาพที่ เย็น หริอ ร้อน อ่อน หรือ แข็ง ตึง หรือ ไหว
ชื่อว่า รูปหยาบ
แต่ปัญญายังไม่รู้รูปหยาบ ตามปกติตามความเป็นจริง แล้วจะรู้รูปละเอียดก็เป็นไปไม่ได้แต่ถ้ามีความยึดมั่น ในความเห็นอย่างนั้น ก็ยากเหลือเกิน ที่จะกลับมาพิจารณาลักษณะของรูปที่กำลังปรากฏทางตา .... ทางกาย ทางใจ ตามปกติ
เพราะฉะนั้น บุคคลใดก็ตาม ที่ยึดมั่นในหนทางที่ผิด ไม่่มีทางที่จะออกมาจากหนทางที่ผิด เพราะว่าเป็นความยึดมั่นเป็น "อุปาทาน" หนทางเดียวที่จะออกจากอุปาทาน หรือข้อปฏิบัติผิดได้ ก็คือเรี่มพิจารณาศึกษาเหตุผล และเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริงว่า การติด กามาสวะ ยินดีพอใจในรูป ..... โผฏฐัพพะ ปัญญาก็จะต้องละคลาย ด้วยการรู้ความจริงของสี่งที่ปรากฏทางตา ... ทางกาย และขณะที่เข้าใจว่ามีวิการรูป เป็นอารมณ์นี้ ปกติมีความยึดมั่น ยินดีพอใจในสี่งนั้นหรือเปล่า เหมือนกับความยินดีพอใจในสี่งที่ปรากฏทางตา....ทางกาย ในชีวิตประจำวันไหม เพราะฉะนั้น หนทางเดียวที่จะออกจากความเห็นผิด เรื่มพิจารณาให้เกิดความเห็นถูกในหนทางที่ถูก และเรี่มอบรมหนทางที่ถูกเมื่อไร เมื่อนั้นจึงจะเป็นการค่อยๆ ไถ่ถอนตนเอง จากความเห็นผิดเมื่อนั้น
แต่ตราบใดที่ความเห็นถูกยังไม่เกิด การอบรมความเห็นถูกยังไม่เกิด จะให้ออกจากข้อปฏิบัติที่ผิด หรือ ความเห็นผิดนั้น เป็นสี่งที่เป็นไปไม่ได้
นี่ก็เป็นสี่งซึ่งจะต้องพิจารณาในชีวิตประจำวันจริงๆ เพราะว่าเรื่องของอกุศลมีมากมายเหลือเกิน แล้วก็เป็นประจำวันด้วย
ปัญหาอยู่ที่ว่า แล้วความเห็นถูกคืออะไร? หากปริยัติไม่ถูกต้อง ความเห็นผิดก็ยังมีอยู่ ยิ่งจะเห็นผิดไปยิ่งๆ ขึ้นไป
ก็คงหนีไม่พ้นจากการมีศรัทธาที่ต้องฟังพระธรรมอย่างสม่ำเสมอ ไม่ขาดการฟังพระธรรม ความเห็นถูกจึงจะค่อยๆ เกิดขึ้น และหากได้มีการสนธนาพระธรรมด้วยก็ทำให้มีความมั่นคงในความเห็นถูก มิฉะนั้นก็ไม่แน่ใจว่า ได้ถูกหลอกให้ยึดมั่นไว้แล้ว ซึ่งก็ยากที่จะแก้ไขได้
ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ