ปัญญาต้องมีกำลังกว่าอวิชชาแน่นอน

 
pirmsombat
วันที่  22 พ.ย. 2553
หมายเลข  17545
อ่าน  1,920

ข้อความบางตอนจากการบรรยายธรรมโดยท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ท่านอาจารย์ เพราะว่าปัญญาต้องมีกำลังกว่าอวิชชาแน่นอน

ดร.ชินวุธ อาจารย์บอกว่า วิชชามีกำลังใหญ่หลวง ฟังดูแล้วก็รู้สีกปลื้มใจ ว่าได้ สลบอวิชชา มันใหญ่หลวงจริงนะพระคุณเจ้า แต่จะเอามาเข้าตัวเรานี่มันยากนะครับ มันใหญ่หลวงจริงหรอก แต่จะเอามาเข้าตัวเรา มันคงยาก

ท่านอาจารย์ ต้องอบรมไงคะ ขณะที่กำลังฟังนี้คือการอบรมเจริญปัญญา รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงว่า ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เพื่อที่จะให้เวลาที่สติระลึก จึงมีความรู้ในขณะนั้นว่า ไม่ใช่ตัวตนอย่างไร ถ้าไม่อาศัยการฟัง เรื่องของสภาพธรรม จนกระทั่งเข้าใจในสภาพที่เป็นอนัตตาละเอียดขึ้น ก็ไม่มีทางที่พอสติระลึก แล้วจะละการยึดถือสภาพธรรมนั้นว่าเป็นตัวตนได้

ด้วยเหตุนี้ แม้ขณะที่กำลังฟัง ก็ต้องรู้จุดประสงค์ว่า เพื่อที่จะรู้จุดประสงค์ของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติ ตามความเป็นจริง

นี่ เป็นทางที่จะให้เกิดการระลึกได้ แม้ในขณะนี้ มีสภาพธรรมปรากฏ แต่อวิชชาไม่รู้ แต่ปัญญาสามารถจะค่อยๆ รู้ขึ้น เพราะฉะนั้นความรู้ความเข้าใจมีหลายขั้น ขั้นฟังขาดไม่ได้เลย เพราะว่าฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง ตรัสรู้ และทรงแสดงว่าสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ กำลังเกิดดับทางตา สภาพธรรมปรากฏสั้นที่สุด แล้วดับ และทางใจก็คิดนึกเรื่องราว ของสี่งที่ปรากฏ ทางหูเสียงกระทบสั้นเล็กน้อยที่สุดแล้วดับ แล้วจิตก็คิดนึกเรื่องราวของเสียงที่ได้ยิน

เพราะฉะนั้น จึงเป็นโลกของสมมติบัญญัติ โดยที่ว่าไม่ได้รู้ ลักษณะของปรมัตถธรรม ที่เกิดเพียงชั่วขณะแล้วดับแล้วสภาพธรรมทีเกิดแล้วดับไปตามเหตุตามปัจจัยนั้นก็ดับจริงๆ ไม่มีอะไรที่ใครจะไปหาอะไรกลับมาอีกได้ เพราะว่ามีปัจจัยใดเกิดขึ้น ปัจจัยที่ทำให้สภาพนั้นดับแล้ว สภาพนั้นก็ต้องดับด้วย

มีข้อสงสัยอะไรบ้างไหมคะ ในธรรมที่ได้ฟังแล้วในคราวก่อนๆ ซึ่งได้รับคำถามจากบางท่าน ท่านถามว่า ก็ถ้าจะเพียงรู้ว่า ทุกอย่างเป็นนามธรรมและรูปธรรมตั้งแต่เกิดจนตายเท่านั้นพอไหม คือมีความรู้สึกว่าถ้าจะเรียนมาก ฟังมากก็อาจจะยุ่งยากมาก เพราะฉะนั้นท่านก็ถามว่า เพียงรู้ว่า ทุกอย่างเป็นนามธรรมและรูปธรรม ตั้งแต่เกิดจนตายเท่านั้น พอไหม ไม่ต้องฟังพระธรรมอะไรอีก

ซึ่งทุกท่านก็จะพิจารณาได้นะคะ วันนี้ท่านก็รู้ค่ะ มีใครไม่รู้ว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ในขณะนี้ก็พูดตามได้ ทุกอย่างเป็นธรรมตั้งแต่เกิดจนตาย กำลังเห็นก็เป็นธรรมกำลังได้นยินก็เป็นธรรม กำลังคิดนึกก็เป็นธรรม สุขทุกข์ก็เป็นธรรม ก็พูดอย่างนี้อยู่เสมอ แต่ว่ารู้จริงๆ ในขณะเห็น ในขณะที่ได้ยิน รู้ในขณะที่คิดนึกว่า ไม่ใช่ตัวตน เป็นแต่เพียงสภาพธรรม แต่ละอย่างจริงๆ หรือเปล่า

เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรมแต่ละครั้ง ก็ต้องไม่ลืมว่า จุดประสงค์เพื่อระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เพราะฉะนั้น ก็คือการอบรมเจริญสติปัฏฐาน เป็นปกติในชีวิตประจำวัน ซึ่งบางท่านอาจจะคิดว่า ห่างเหินไป ไม่ค่อยจะได้พูดถึงเรื่อง สติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แต่ตามความเป็นจริงขึ้นอยู่กับมนสิการ หรือการพิจารณาของแต่ท่านที่ฟัง เพราะว่ากำลังมีธรรมในขณะนี้เอง

เพราะฉะนั้น ทุกเรื่องที่ได้ฟังจากพระธรรมก็ต้องเป็นเรื่องของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เพียงแต่ว่าจะเป็นปัจจัยที่จะทำให้สติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมหรือว่าเพียงฟังไปก่อน แล้วก็นานๆ ครั้งหนี่งก็เป็นปัจจัย ให้สติเกิดระลึกลักษณะของสภาพธรรม ในขณะนี้บ้างตามความเป็นจริง เพราะว่าจะฝืนอกุศลไม่ได้เลย ถ้ารู้ว่าแต่ละคนมีอกุศลมามากมายเหลือเกินในสังสารวัฏฏ์ หรือว่าถ้าจะไม่ย้อนกล่าวไปถึง แสนโกฏิกัปป์ แม้เพียงในปัจจุบันชาติ วันนี้เอง กุศลหน่อยหนึ่ง แล้วก็หันกลับไปหาสู่อกุศล แล้วก็กุศลอีกเล็กน้อย แล้วก็ก็หันกลับไปหา โลภะ เป็นประจำอย่างนี้ นี่คือชีวิตจริงๆ

เพราะฉะนั้น จึงต้องอาศัยการฟังพระธรรมมากๆ ฟังแล้ว ฟังอีก แล้วก็ฟังเพื่อให้สติเกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมแล้วเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ มิฉะนั้นแล้วไม่มีทางอื่นเลย

ลองนึกถึงวันที่ไม่ฟังพระธรรม วันนั้นเป็นยังไงบ้าง อกุศลมากสักแค่ไหน เพราะฉะนั้นการฟังแต่ละครั้งก็เหมือนกับจะเป็นสี่งที่เกื้อกูล ให้หายจากความมัวเมาด้วย อกุศลในวันหนึ่งๆ เพราะว่าไม่ว่าจะเห็น จะได้ยิน จะได้กลี่น จะคิดนึก ไม่วาจะกระทบสี่งที่กระทบสัมผัส เป็นเรื่องที่ว่า อกุศลเกิดสืบต่อทันทีโดยไม่รู้ เพราะฉะนั้นการที่กุศลจะเกิดแต่ละขณะ เหมือนคนที่ไม่มีกำลัังป่วยหนักเป็นไข้ แม้แต่จะพลิกตัว เพื่อที่จะกลับเป็นกุศล ก็ยังจะต้องอาศัยเชิอกที่ขึงไว้ แล้วก็โหนจับเชือกนั้น เพื่อทีี่จะพยุงตัวให้ลุกขึ้น นี่คือการอาศัยพระธรรม เพื่อที่จะให้กุศลจิตเกิดแต่ละครั้งๆ

ซึ่งถ้าท่านผู้ใดไม่เห็นประโยชน์ของการฟังพระธรรม หรือคิดว่าก็รู้แล้ว ว่าทุกอย่างเป็นนามธรรมและรูปธรรมเท่านั้น รู้แค่นั้นแล้วเมื่อไรจะละการยึดถือสภาพธรรม ว่าเป็นตัวตน แล้วเมื่อไรกิเลสจะดับ จะต้องอาศัยการฟังความละเอียดของสภาพธรรม แล้วพิจารณาให้เข้าใจจริงๆ ว่า สภาพธรรมมี และปัญญาสามารถที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมในขณะนั้น แทนอวิชชาได้ เพราะว่า ขณะใดที่ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรม ขณะนั้นก็เป็นปัจจัยให้เกิด ตัณหา โลภะ หรือ อกุศลได้


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 22 พ.ย. 2553

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
pirmsombat
วันที่ 23 พ.ย. 2553

ขอบคุณและอนุโมทนาทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
pamali
วันที่ 23 พ.ย. 2553
กราบท่านอจ. ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
chaiyut
วันที่ 23 พ.ย. 2553

ท่านอาจารย์กล่าวไว้ได้ลึกซึ้งเหลือเกินครับ

ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
aiatien
วันที่ 23 พ.ย. 2553

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
daeng
วันที่ 24 พ.ย. 2553

ลึกซึ้งมากจริงๆ ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
khampan.a
วันที่ 25 พ.ย. 2553

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
เซจาน้อย
วันที่ 19 ม.ค. 2554
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 23 มี.ค. 2554
ขอขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
chatchai.k
วันที่ 19 ส.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ