ชีวิตจริงๆ ของแต่ละคนสั้นแสนสั้น ชั่วขณะๆ เท่านั้นเอง [2]
ข้อความบางตอนจากการบรรยายธรรมโดยท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ท่านอาจารย์ อายตนะที่ ๙ คือ กายายตนะ ได้แก่ กายปสาทรูป แต่ว่าขณะที่ได้ยินเสียง มึใครรู้บ้างว่ามี กายปสาทรูป ขณะที่ได้ยินเสียง มีไหมคะ กายปสาทรูป ไม่มีค่ะมีไม่ได้เลย จิตเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะเดียว แต่ขณะที่กระทบสัมผัสหลงลืมสติ บ่อยเหลือเกินนะคะในวันหนึ่งๆ
แต่เมื่อได้ฟังเรื่องของอายตนะจะเกื้อกูลกับผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐานให้ระลึก ได้ว่าขณะนั้นอย่างอื่นไม่มีเลย ไม่มีจริงๆ ถ้ามีก็เป็นความทรงจำ ซึ่งเป็นอัตตสัญญา ซึ่งจะต้องไถ่ถอนจนกว่าจะหมดสิ้น
เพราะว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสรู้ว่า ไม่มีตัวตน สัตว์ บุคคล มีแต่สภาพธรรมที่เกิดแล้วปรากฏ จิต เจตสิก รูป เกิดดับสืบต่อกัน ตั้งแต่เกิดจนตายเท่านั้นเองเพราะฉะนั้น ในขณะที่กระทบกับสี่งที่อ่อน หรือ แข็ง เย็น หรือ ร้อน ตึงหรือไหว ปัญญาต้องรู้แล้วว่า ขณะนั้นพิจารณารู้สภาพที่ไม่ใช่ตัวตน โดยรู้ว่า สภาพที่แข็ง ไม่ใช่สี่งหนึ่งสี่งใดเลย นอกจาก สภาวธรรม ซึ่งไม่ต้องเรียกชื่อ และไม่เป็นของใคร และขณะนั้นก็มีสภาพที่รู้แข็ง ซึ่งอาสัยกายปสาท เป็นกายตนะและ โผฏฐัพพะ ในขณะนั้นประชุมที่นั่น เป็น โผฏฐัพพายตนะ ทำให้ ขณะนั้นรู้สี่งที่แข็ง แม้ในขณะนี้ก็ ชั่วขณะหนึ่ง เท่านั้นเอง
นี่คือเป็นผู้มีปกติอบรมเจริญสติปัฏฐาน เพื่อที่จะไถ่ถอนว่า ขณะที่กำลังรู้แข็งหรืออ่อน เย็นหรือร้อน ตึงหรือไหว ไม่มีสัตว์บุคคล ตัวตน ไม่มีการที่จะทรงจำไว้ว่าตั้งแต่ศีรษะ ตลอดเท้า ยังมีปอด ยังมีตับ ยังมีผม ยังมีตา ยังมีหู ยังมีคิ้ว ยังมีจมูก ซึ่งความจริงแล้ว นั่นคือ อัตตสัญญา ทั้งหมด ซึ่งจะต้องรู้ตามความเป็นจริง ว่าเมื่อไรสามารถที่จะลบ หรือ ไถ่ถอน อัตตสัญญาได้ เมื่อนั้นสภาพธรรมจะปรากฏตามเป็นจริงของสภาพธรรมนั้นๆ โดยไม่เหลือเยื่อใยของความเป็นสัตว์ เป็นตัวตน เป็นบุคคลหนึ่งบุคคลใดได้ ซึ่งก็จะต้องอาศัยการอบรมเจริญปัญญา โดยเป็นผู้ที่รู้ว่า ขั้นการฟังนี้ ขั้นเข้าใจ แต่ประโยชน์สูงสุด คือขั้นที่สติเกิดระลึกลักษณะ ของสภาพธรรมในขณะนี้ที่กำลังปรากฏ
อายตนะ ที่ ๑๑ คือ มนายตนะ อายตนะ ที่ ๑๒ คือ ธัมมายตนะ มนายตนะ ก็ได้แก่ จิต ซึ่งเป็นสภาพที่รู้อารมณ์ ธัมมายตนะ ก็คือ อารมณ์ที่รู้ทางอื่นไม่ได้ รู้ได้เฉพาะทางใจเท่านั้น แต่ว่าสำหรับ อายตนะ ต้องเป็น ปรมัตถธรรม
ท่านอาจารย์ อายตนะที่ ๙ คือ กายายตนะ ได้แก่ กายปสาทรูป แต่ว่าขณะที่ได้ยินเสียง มึใครรู้บ้างว่ามี กายปสาทรูป ขณะที่ได้ยินเสียง มีไหมคะ กายปสาทรูป ไม่มีค่ะ มีไม่ได้เลย
ขออภัยครับ
ไม่ทราบว่าท่านอาจารย์กล่าวผิดพลาดหรือผมกำลังเข้าใจสับสน ผมก็รับฟังจากอาจารย์น้่นแหละครับ ว่า ปสาทรูปห้า เวลาเกิด เกิดพร้อมกันทั้งหมด
ขณะใดมีโสตปสาทรูป ขณะนั้นย่อมมีกายปสาทรูปด้วย (และปสาทรูปอื่นทั้งหมด) เพียงแต่ขณะใดมีโสตวิญญาณ ขณะนั้นไม่มีกายวิญญาณ หรือวิญญาณอื่นเท่านั้นครับ
ผมกล้าวิจารณ์ตรงๆ แบบนี้ แหละครับ ถ้าผมกล่าวผิด และมีผู้ชี้แจง ผมก็ได้รับ ประโยชน์คือความเข้าใจที่ชัดเจนขึ้นครับ
ท่านอาจารย์กล่าวถูกต้องครับ
กราบขอบพระคุณ และ กราบอนุโมทนา ท่านอาจารย์ ครับ
ผมเข้าใจว่า
ที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า แต่ว่าขณะที่ได้ยินเสียง มึใครรู้บ้างว่ามี กายปสาทรูป ขณะที่ได้ยินเสียง มีไหมคะ กายปสาทรูป ไม่มีค่ะ มีไม่ได้เลย จิตเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะเดียว แต่ขณะที่กระทบ สัมผัส หลงลืมสติ บ่อยเหลือเกินนะคะในวันหนึ่งๆ
ชัดเจนครับ
สรุปว่า ขณะที่ได้ยินเสียง กายปสาทรูปเกิดแล้ว ดับแล้ว โดยไม่เป็นอายตนะ ก็คือไม่มี กายปสาทรูป เพราะว่า ไม่ได้ประชุมกัน ชั่วขณะที่เกิดแล้วยังไม่ดับขณะที่ได้ยินเสียง มีแต่ โสตปสาทรูป ครับ
ขออนุโมทนาครับ
จิตเกิดขึ้นทีละขณะและรับรู้ได้ทีละอารมณ์ ขณะที่จิตมีเสียงเป็นอารมณ์ จิตจะมีอย่างอื่นเป็นอารมณ์อีกไม่ได้ อารมณ์ใดปรากฏขณะไหน ... อารมณ์นั้นก็เป็นสิ่งที่มีจริงในขณะนั้นค่ะ
ขออนุโมทนาขอนอบน้อมพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบท่าน
กราบอาจารย์ สุจินต์ และขออนุโมทนาในกูศลจิตของคุณหมอ ... และทุกๆ ท่านค่ะ
ขอบพระคุณ
"...ขณะที่กำลังรู้แข็งหรืออ่อน เย็นหรือร้อน ตึงหรือไหว ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน ไม่มีการที่จะทรงจำไว้ว่าตั้งแต่ศีรษะ ตลอดเท้า ยังมีปอด ยังมีตับ ยังมีผม ยังมีตา ยังมีหู ยังมีคิ้ว ยังมีจมูก ซึ่งความจริงแล้ว นั่นคือ อัตตสัญญา ทั้งหมด ซึ่งจะต้องรู้ตามความเป็นจริงว่า เมื่อไรสามารถที่จะลบหรือไถ่ถอนอัตตสัญญาได้ เมื่อนั้นสภาพธรรมจะปรากฏตามเป็นจริงของสภาพธรรมนั้นๆ โดยไม่เหลือเยื่อใยของความเป็นสัตว์ เป็นตัวตน เป็นบุคคลหนึ่งบุคคลใดได้ ซึ่งก็จะต้องอาศัยการอบรมเจริญปัญญา..."
ขอบพระคุณมาก และขออนุโมทนาค่ะ