ทุกขณะในชีวิตประจำวันติดทุกสี่งทุกอย่างโดยไม่รู้ตัว

 
pirmsombat
วันที่  27 ธ.ค. 2553
หมายเลข  17652
อ่าน  2,378

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ข้อความบางตอนจากการบรรยายธรรมโดยท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ท่านอาจารย์ การอบรมเจริญปัญญา ที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏ เป็นจิรกาลภาวนา ที่ต้องอบรมเป็นเวลานาน และที่เคยกล่าวถึงแล้วก็ได้ กล่าวถึงเรื่องของ "กัปป์" เช่น พันกัปป์ หมื่นกัปป์ แสนกัปป์ ไม่ใช่ให้ท่านผู้ฟังท้อถอย แต่จะต้องทราบว่าเพื่อไม่ให้ประมาทคือไม่ให้คิดว่า สามารถที่จะถึงการรู้แจ้งอริยสัจได้โดยเร็วในชาตินี้ หรือว่าใน ๗ วัน ใน ๗ เดือน ใน ๗ ปี เมื่อเหตุยังไม่สมควรแก่ผล ผลที่ถูกต้องก็จะเกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องห่วง เรื่องกัปป์หรือว่าเรื่องเวลานาน เพราะว่าท่านผู้ฟังอาจจะเคยอบรมเจริญมาแล้ว ใครจะรู้ว่านานเท่าไร เพราะเพราะฉะนั้นอาจจะเป็นในชาตินี้เองที่ท่านสามารถจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม หรือว่าในชาติต่อไปๆ

แต่ว่าไม่ควรที่จะคิดถึงนะคะ ว่าเมื่อไร แต่ว่าจะต้องเป็นผู้ที่จริงใจแล้วก็ตรงว่า ขณะนี้มีสภาพธรรมกำลังปรากฏสามารถที่เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏถูกต้องตามความเป็นจริงหรือไม่ เช่นในขณะนี้ "เห็น" นี่เป็นสภาพธรรมที่กำลังมีจริงๆ สติสัมปชัญญะไม่ผิดปกติเลย ถ้ามีความสามารถที่จะเข้าใจว่าขณะนี้ลักษณะที่เห็นเป็นสภาพรู้ เป็นอาการรู้ และสี่งที่ปรากฏก็เป็นเพียงสี่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้นหลังจากนั้นจึงมีการนึกคิดเป็นเรื่องราว เป็นสัตว์ เป็นบุคคล จากสี่งที่ปรากฏทางตาทั้งสี้น

แต่ให้ทราบว่าเมื่อกำลังคิดนึก ไม่ใช่ขณะที่เห็น เห็นเป็นเพียงเห็นค่ะ เพื่อที่จะแยกให้ออกว่าเห็นเป็นสภาพที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏให้เห็น หลังจากนั้นเป็นคิด ต้องแยกให้ออก ปรมัตถสัจจะ และ สมมติสัจจะ

เพราะฉะนั้นแต่ละบุคคลก็สามารถจะรู้ตัวเองตามความเป็นจริง เป็นปัจจัตตังนะคะ ความรู้ ความเข้าใจ ขณะที่ฟัง ขณะที่สติเกิด ขณะที่เรี่มพิจารณา ขณะที่เข้าใจ ขณะที่รู้จริงๆ ว่าสภาพธรรมทีไม่ใช่ตัวตน แต่เป็นนามธรรมและรูปธรรมนั้นเป็นอย่างไร ผู้ที่ตรงและเป็นผู้ที่จริงใจ จึงจะสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ แต่วันหนึ่งๆ การพิจารณาธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดมากจริงๆ

เช่นทุกขณะในชีวิตประจำวัน เคยระลึกได้บ้างไหมคะว่า ติดทุกสี่งทุกอย่างโดยไม่รู้ตัว การติดในสี่งที่กำลังปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นทางตาที่เห็น ทางใจที่คิดนึก เรื่องราวต่างๆ ทางหูที่ได้ยินเสียง ทางใจที่รู้เรื่องราวของเสียงต่างๆ ทางจมูก ทางลี้น ทางกาย ทั้งหมดทราบไหมคะ ว่าติดโดยไม่รู้ตัวอยู่ตลอดเวลา ติดในสภาพที่เกิดขึ้นปรากฏทุกเหตุการณ์ ถ้าท่านจะเห็นสี่งหนึ่งสี่งใด แล้วรู้สึกไม่ถูกใจ ทราบไหมคะว่าเพราะอะไรเพราะว่าท่านติดในสี่งท่านพอใจ เพราะฉะนั้นเมื่อเห็นสี่งที่ไม่น่าพอใจก็ขุ่นเคืองใจ ด้วยเหตุนี้ถ้าสาวไปถึงทุกขณะในชีวิต จะพบว่าไม่ว่าจะเห็นดูเหมือนว่าธรรมดา แต่ความจริงแล้วในสี่งที่เห็น มีสัญญาวิปลาส มีจิตวิปลาส

เพราะความคุ้นเคยที่จะเห็นสี่งที่ปรากฏ เป็นสัตว์ เป็นบุคคลต่างๆ นี่ก็ติดแล้วอย่างรวดเร็วทั้งๆ ที่เวลาฟังธรรม ก็รู้ว่าไม่มีตัวตน สัตว์ บุคคล มีแต่นามธรรมและรูปธรรมเท่านั้น ทั้งทางตา .... ทางกาย ทางใจ แล้วทำไมทันทีที่เห็น เป็นคนอีกแล้ว นี่แสดงถึงความคุ้นเคยอย่างมากทีเดียวกับการติดในสี่งที่เห็น โดยที่ไม่ระลึกรู้ความจริงของสภาพธรรม แม้ว่าจะได้ฟังแล้ว ฟังแต่เรื่องของนามธรรมและรูปธรรม

เพราะฉะนั้นก็ต้องฟังอีก แล้วก็มีความเข้าใจเพี่มขึ้นอีก ถึงจะรู้ได้ว่าค่อยๆ คลายการติด โดยขณะที่สติเกิด เป็นขณะที่จะระลึกรู้ความจริงของสภาพธรรมได้ว่า ขณะนี้ทางตาเป็นแต่เพียงสี่งที่ปรากฏ จะต้องอบรมเจริญปัญญาอย่างนี้เรื่อยไปจนกว่าจะรู้ความจริง ไม่ว่าขณะใดที่สติเกิดเป็นปกติอย่างนี้ แต่เปลี่ยนจากการที่จะยึดถือว่าเป็นสัตว์ บุคคลเป็นความเห็นผิดที่มั่นคง โดยแม้จะรู้ว่าเป็นสัตว์ บุคคลยังรู้ว่าเห็นสี่งที่ปรากฏ แล้วก็นึกถึงสี่งที่ปรากฏ แล้วก็นึกถึงสี่งที่ปรากฏ เป็นสัตว์เป็นบุคคล ต่างๆ เป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องตรง ต้องมีขันติความมอดทนมากในการที่จะละคลายกิเลส เพราะว่าถ้ารู้ว่าวันหนึ่งกิเลสมากจริงๆ อย่างที่ได้เรียนให้ทราบแล้วว่าเพียงเห็น แล้วก็ไม่รู้ความจริง แล้วก็คุ้นเคยต่อการที่จะติดในสี่งที่เห็น โดยคิดว่าเป็นสัตว์ บุคคลต่างๆ เป็นเรื่อง เป็นราวต่างๆ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าปกติธรรมดายังไม่ต้องโกรธใคร ยังไม่ต้องริษยาใคร ยังไม่ต้องทำทุจริตใดๆ ก็มีอกุศลมากมายเป็นประจำอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นกว่าที่จะดับกิเลสหมดเป็นสมุจเฉทจริงๆ เห็นก็ไม่มีกิเลสเลย ได้ยินก็ไม่มีกิเลสเลย ได้กลิ่นก็ไม่มีกิเลสเลย ลี้มรส ... ไม่มีกิเลสใดๆ ทั้งสี้น กระทบสัมผัสก็ไม่มีกิเลส เป็นพระอรหันตบุคคล ซึ่งมีผู้ที่บรรลุธรรมนี้มากมายมาแล้ว

เพราะฉะนั้นผู้ที่กำลังอบรมเจริญปัญญาที่จะดับกิเลสนี้ ก็จะต้องเป็นผู้ที่อดทนต่อการที่จะเป็นคนดี จริงไหมคะ เรี่มจะเห็นอกุศล เกิดขณะใด ไม่ใช่คนอีน ในขณะนั้น มีความไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏขณะใด ก็ไม่ใช่คนดีในขณะนั้น เกิดโลภะ โทสะ โมหะ ขณะใด ก็ไม่ใช่คนดีในขณะนั้น เพราะฉะนั้นต้องอดทนที่กุศลจิตจะเกิด ที่จะเป็นคนดีมากสักเท่าไร กว่าที่กิเลสจะดับหมด นอกจากการที่จะ อดทนเป็นคนดี
ยังจะต้องอดทนต่อการที่จะกระทำความดีด้วย

เพราะฉะนั้นไม่ใช่ผู้ที่อยู่เฉยๆ เลยค่ะ ผู้ที่ใคร่ที่จะดับกิเลส ต้องเป็นผู้ที่ขยัน เป็นผู้ที่ขวนขวาย เป็นผู้ที่อดทนต่อการที่จะฟังพระธรรมให้เข้าใจ และประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมด้วยใจจริง ซึ่งการละกิเลสเป็นเรื่องจริง เป็นสัจจะ เป็นสัจจธรรม พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสวงหาหนทางจนกระทั่งสามารถ ดับกิเลสได้หมดสี้นเป็นสมุจเฉท เพราะสามารถประจักษ์สภาพธรรมทั้งที่เป็น โลกียธรรม และ โลกุตตรธรรม


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chaiyut
วันที่ 28 ธ.ค. 2553

....ต้องอดทนที่กุศลจิตจะเกิด ที่จะเป็นคนดีมากสักเท่าไร กว่าที่กิเลสจะดับหมด นอกจากการที่จะ อดทนเป็นคนดี ยังจะต้อง อดทนต่อการที่จะกระทำความดีด้วย....

ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 28 ธ.ค. 2553

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
pirmsombat
วันที่ 28 ธ.ค. 2553

ขอบคุณ คุณ chaiyut และ คุณ จักรกฤษณ์ มาก และ

อนุโมทนาทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
pat_jesty
วันที่ 29 ธ.ค. 2553

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
pamali
วันที่ 30 ธ.ค. 2553

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณหมอ.. และทุกๆ ท่านค่ะ...

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Sensory
วันที่ 31 ธ.ค. 2553

ขอกราบอนุโมทนาค่ะ

ทำความดีมหาศาลเท่าไหร่ก็ยังไม่พอจริงๆ หากยังติดทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่รู้ตัว ติดว่าเป็นเรา เขา ก็ต้องมีอิสสา มัจฉริยะ มานะ กันต่อไป ทราบมาว่า แม้แต่เทวดา ที่ความเป็นอยู่สุขสบายเหมือนไม่ต้องมีโทมนัสอะไร ก็ต้องทุกข์เพราะอิสสา ทุกข์เพราะความเป็นเรา

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
bsomsuda
วันที่ 31 ธ.ค. 2553

"...ต้องมีขันติความอดทนมากในการที่จะละคลายกิเลส เพราะว่าถ้ารู้ว่าวันหนึ่งกิเลสมากจริงๆ ... เพียงเห็นแล้วก็ไม่รู้ความจริง แล้วก็คุ้นเคยต่อการที่จะติดในสี่งที่เห็น โดยคิดว่าเป็นสัตว์ บุคคลต่างๆ เป็นเรื่อง เป็นราวต่างๆ ... นี่ก็แสดงให้เห็นว่าปกติธรรมดายังไม่ต้องโกรธใคร ... ยังไม่ต้องทำทุจริตใดๆ ก็มีอกุศลมากมายเป็นประจำอยู่แล้ว.."

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Guest
วันที่ 29 ธ.ค. 2555

การอบรมเจริญปัญญา ที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลัง ปรากฏ เป็นจิรกาลภาวนา คุณ pirmsombat คัดมาให้ทราบ ผม ไม่เข้าใจข้อความนี้ ท่านจะกรุณาอธิบายให้เป็นธรรมทานก็จะขอบพระคุณยิ่ง คือ เจริญปัญญา สภาพธรรม จิรกาลภาวนา

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
tanrat
วันที่ 13 พ.ย. 2556

ฟังธรรมะต้องเป็นธรรมะ ไม่ใช่นึกคิดเอง ผู้ที่ทรวแสดงธรรมคือพระปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มิใช่ปุถุชน แล้วผู้ฟังยุคนี้คือใคร อยากประจักษ์แจ้งสภาพธรรมะเร็วๆ แล้วเหตุสมผลไหม

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
panasda
วันที่ 17 ธ.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
สิริพรรณ
วันที่ 16 ม.ค. 2557

การได้ศึกษาพระธรรมมีแต่ประโยชน์ฝ่ายเดียว ทั้งโลกนี้และโลกหน้า

กราบขอบพระคุณท่านอ.สุจินต์ฯเป็นอย่างสูงค่ะ

อนุโมทนากับกัลยาณมิตรทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
chatchai.k
วันที่ 19 ส.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ