ประโยคเตือนสติ
สืบเนื่องจากกระทู้ของท่านอาจารย์กาญจนา (พี่แดง) ซึ่งท่านได้กรุณานำประโยคภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นธรรมะสนทนาของท่านธัมมธโรและของท่านอาจารย์สุจินต์ มาแปลและเรียบเรียงเป็นภาษาไทย และนำมาเผยแพร่นั้น เป็นประโยชน์อย่างยิ่งจริงๆ ครับ และพี่แดงเห็นว่า หากนำคำสอนของท่านอาจารย์สุจินต์ที่ท่านกล่าวเป็นประโยค (ประโยคทอง) อันมีความหมายลึกซึ่้งและเป็นเครื่องเตือนสติได้เป็นอย่างดี ของแต่ละท่านที่จำได้มารวบรวมไว้ ก็จะเกิดประโยชน์ เป็นอย่างยิ่ง แก่ผู้ศึกษาธรรมะ เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติ เช่นเดียวกัน
ผมจึงขออนุญาตนำประโยคที่ผมได้จดจากคำสอนของท่านอาจารย์สุจินต์เพื่อเป็นเครื่องเตือนสติมาลงไว้ เผื่อจะเป็นประโยชน์ได้บ้าง (อย่างไรก็ตามต้องขออนุญาตท่านอาจารย์ ท่านวิทยากร กรุณาตรวจสอบปรับปรุง เพื่อให้ได้สาระที่สมบูรณ์ด้วยนะครับ) และอยากให้ท่านอื่นๆ เมตตานำประโยคจากคำสอนของท่านอาจารย์มาเผยแพร่ มาลงเพื่อแลกเปลี่ยนและจะได้รวบรวมไว้ เป็นเครื่องเตือนสติประจำวันเช่นกันนะครับ
ประโยคเตือนสติของท่านอาจารย์สุจินต์
"รูปนี้เป็นภาระหนัก แต่ที่หนักกว่าคือ ความติดข้องในรูป"
"ขันธ์นี้เป็นภาระ แต่ขณะที่นั่งอยู่นี้ รู้หรือไม่ว่าขันธ์เป็นภาระ"
"ปัญญาที่แท้จริงไม่มีความติดข้องเลย การละคลายต้องพิจารณาก่อนว่า ไม่เป็นตัวเรา จึงไประลึกว่าเป็นธรรมะเท่านั้นที่เกิดดับ"
"ค่อยๆ ฟังให้เข้าใจว่า ลักษณะที่ไม่ใช่เป็นตัวตนนั้นเป็นอย่างไร"
"การละ ไม่ใช่ไปละ โลภะ โทสะ โมหะ แต่ให้ละความไม่รู้ การยึดถือขันธ์ว่า เป็นเรา"
"วันหนึ่ง วันหนึ่ง เป็นโลภะที่เดินได้ เป็นโทสะที่เดินได้ เป็นโมหะที่เดินได้ หรือเปล่า"
"วันทั้งวันอย่าให้เป็นเพียง ทะเลชื่อ ทะเลภาพ ทะเลแห่งเรื่องราว"
"อายตนะมีโทษมากเมื่อไม่รู้ แต่มีประโยชน์มากเมื่อสติเกิด"
"ความเป็นเรานั้นเหนียวแน่น เพราะจำไว้ว่ามี มีฟันหรือเปล่า หรือมีแต่แข็ง แล้วจำว่าเป็นฟันของเรา มีตาหรือเปล่า ปรากฏเมื่อมีรูปเป็นอารมณ์ หากไม่มีก็จำว่ามี"
"ชาติปัจจุบันนี้เป็นชาติก่อนที่เราสามารถรู้ได้ชัดเจนของชาติต่อไปในอนาคต"
"คนดีนั้นก็เหมือนคนบ้า หากไม่มีปัญญา"
"เรื่องของผลนั้นทุกคนต้องการ แต่เรื่องของเหตุไม่คอยจะใส่ใจ"
"รู้หรือไม่ว่า อีกชื่อหนึ่งของเรา คือ คุณประมาท"
ขอกราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ในความเมตตากรุณาของท่านต่อผู้ยากไร้ปัญญา (เช่น ผมเป็นต้นครับ) ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านที่เมตตาละความตระหนี่ในพระธรรมและนำคำสอนของท่านอาจารย์มาเผยแพร่ต่อไปนะครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"เรื่องของผล นั้นทุกคนต้องการ แต่ เรื่องของเหตุ ไม่คอยจะใส่ใจ"
"รู้หรือไม่ว่า อีกชื่อหนึ่งของเรา คือ คุณประมาท"
ขอกราบแทบเท้าอนุโมทนาในธรรมทานอันหาค่ามิได้โดยท่านอาจารย์ และขออนุโมทนาคุณจักรกฤษณ์ด้วยครับ ผมเห็นว่าแต่ละประโยคมีคุณค่ายิ่งกว่าทองอีกนะครับ
ขอขอบพระคุณมากครับ
ต้องอบรมเจริญปัญญา จนกว่าจะละกิเลสหมดบรรลุเป็นพระอรหันต์ เมื่อไหร่ เมื่อนั้นจึงจะชื่อว่าผู้ไม่ประมาทจริงๆ ค่ะ
ช่วงนี้จะได้รับทราบข่าวอุบัติเหตุบ่อยครั้ง และข่าวอุบัติเหตุผู้เสียชีวิต 8 ศพ รู้สึกพลอยเศร้าใจไปด้วยกับความไม่รู้ ไม่ได้เป็นผู้ก่อของผู้ตายเลย ทำให้ระลึกถึงคำพูดของท่านอาจารย์สุจินต์ หลายๆ ประโยค โดยเฉพาะกับประโยคที่ว่า "มีแล้ว หามีไม่" ไม่มีใครรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ดิฉันต้องอาศัยการฟังธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์แบบสม่ำเสมอ เพื่อครองสติต้วเองไม่ให้ประมาท ทั้งทางโลก และ ทางธรรม อนุโมทนากับกุศลจิตท่านอาจารย์สุจินต์ และของทุกๆ ท่านค่ะ
"...พระธรรมลึกซึ้งจริงๆ ค่ะ ละเอียดนะคะ ถ้าไม่ฟังด้วยความเคารพ ด้วยความรอบคอบ ไม่ได้สาระแน่..."
"...บางคนนะคะ อยากถึงนิพพาน แล้วอะไรล่ะคะ นิพพานคืออะไร? นิพพานอยู่ที่ไหน? เดี๋ยวนี้ เห็น ยังไม่รู้เลย ทั้งๆ ที่กำลังปรากฏ กำลังเผชิญหน้า ..."
"...ปัญญา นี่แหละค่ะ จะเจริญขึ้น (จากการอบรม) จนกระทั่ง สามารถที่จะรู้ความจริง ของสิ่งที่เคยติดข้องเป็นปรกติในชีวิตประจำวัน จนสามารถที่จะดับกิเลสเป็นสมุทเฉท..."
"...การฟังธรรมะนะคะ ไม่ใช่ให้เชื่อค่ะ ทุกคำ ที่ได้ยินนะคะ พิจารณา ไม่ประมาทแล้วก็สามารถที่จะรู้ว่า ... กำลังเข้าใจขึ้น ..."
"...ทีละเล็ก ทีละน้อย หรือเปล่าคะ? หรือ เข้าใจหมดเลย..."
"...การฟังพระธรรม ไม่ใช่เราคิดเองค่ะ แต่ฟังจากผู้ที่ทรงตรัสรู้..."
"...ทุกคนนี่น่ะ อยากจะเจริญสติ แล้วความเข้าใจ สภาพธรรมะที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้มีพอหรือยัง?..."
"...เพราะฉะนั้น การฟังเพื่อเข้าใจ ขณะที่กำลังเข้าใจ โลภะจะอยู่ตรงนั้น ไม่ได้เลย..."
"...แค่เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏเนี่ย พอไม๊คะ? หรือจะเอาให้มากๆ เยอะๆ ..."
"...ฟังเพื่อละค่ะ ฟังเพื่อ โอ...จะละกิเลส ก็ไม่ใช่ ฟังเพื่อละความไม่รู้และ ได้เริ่มรู้จักสภาพธรรมะ ที่กำลังปรากฏ จริงๆ ..."
"...เพราะฉะนั้น อย่าไปชื่นชมกับคำเยอะๆ ค่ะ แต่กับความเข้าใจริงๆ ..."
"...เดี๋ยวนี้ เป็นอย่างนี้หรือเปล่าคะ?..."
"...มั่นคงหรือยังคะ?..."
สำหรับข้าพเจ้า คำทุกคำ ที่ท่านอาจารย์กล่าว มีค่า มีความหมายอย่างยิ่งครับ เพราะทำให้เราได้เข้าใจธรรมอันลึกนั้นขึ้นบ้างครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณจักรกฤษณ์ด้วยครับ
ขออนุโมทนาคุณจักรกฤษณ์ที่ตั้งกระทู้นี้ขึ้น และประโยคทองที่แต่ละท่านนำมาลงนั้น มีประโยชน์มากจริงๆ สำหรับตนเอง เมื่อได้ยินเรื่องอุบัติเหตุที่ทำให้สลดใจ ก็มักจะนึกถึงที่ท่านอาจารย์นำข้อความจากพระสูตรมาพูดว่า
"โลกมนุษย์เป็นที่ดูบุญและบาป และผลของบุญและบาป"
ทำให้ความสลดใจนั้นลดลงบ้าง เพราะเมื่อยังมีอกุศลกรรม ก็ย่อมมีอกุศลวิบากให้เห็นอยู่เสมอ ไม่หมดไปจากโลกนี้แน่นอนค่ะ ดังนั้นการให้ธรรมทานจึงชนะการให้ทั้งปวง เพราะสามารถทำให้ผู้เข้าใจธรรม รู้ว่าควรเจริญกุศล และควรละอกุศล และรู้ว่าอกุศลวิบากนั้นเป็นผลของอกุศลกรรมที่ทำไว้แล้ว ส่วนกุศลวิบากก็เป็นเพราะกุศลกรรมที่ทำไว้แล้วเช่นเดียวกัน ก็จะทำให้มีพรหมวิหารเป็นเครื่องอยู่ในชีวิตประจำวันได้ เมื่อเห็นผู้ตกทุกข์ได้ยาก ช่วยเหลือได้ก็ช่วย เมื่อช่วยไม่ได้ ก็วางอุเบกขา เมื่อคนอื่นได้ดี ก็พลอยยินดีในผลของกุศลที่ได้ทำมาแล้ว และที่สำคัญที่สุด คือ เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วได้มีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรมอันมีค่าสุด ประมาณได้เช่นนี้ เพราะท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์อุทิศตนเพื่อการศึกษาและ เผยแพร่พระธรรมอย่างแท้จริง และท่านยังประกอบด้วยเมตตา กล่าวสอนซ้ำแล้วซ้ำอีกทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ พวกเราจึงมีประโยคทองสำหรับเตือนตัวเองมากมาย ใครจะชอบประโยคใดนั้นก็เป็นไปตามการสะสมของแต่ละคน สำหรับตัวเองนั้นจะนึกได้เมื่อมีเหตุการณ์ที่ทำให้นึกถึง จึงคิดว่ากระทู้นี้ คงจะต้อง update ตลอดเวลาค่ะ
จริงค่ะ ทุกคำของอาจารย์มีความหมายจริงๆ ค่ะ ไม่ขาด ไม่เกิน ตรงจริงๆ ค่ะ
ขอกราบอนุโมทนาค่ะ
เรียนคุณจักรกฤษณ์
วันนี้ฟังแนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนเย็น ได้ฟังข้อความที่ท่านอาจารย์นำมาจากพระไตรปิฎก ที่ท่านพระสารีบุต ทูลพระผู้มีพระภาค ถึงวาจาลักษณะต่างๆ ของพระผู้มีพระภาค ท่านพูดว่า "กล่าวแต่วาจาซึ่งไตร่ตรองด้วยปัญญา อันควรฝังไว้ในใจ" นั้น พี่คิดว่า ใช่เลยสำหรับความหมายของกระทู้นี้ จึงขอเสนอว่า ควรตั้งชื่อกระทู้ว่า "ประโยคของ ท่านอาจารย์ ที่ควรฝังไว้ในใจ" ดีไหมคะพี่แดง
ขออนุโมทนาทุกๆ ท่านค่ะ
(ชอบจังเลยประโยคเตือนสติที่แต่ละท่านกรุณานำมาโพสลงเว็บ)
คำพูดของท่านอาจารย์ที่ดิฉันพอจำได้ และประทับใจ
"ชาติหน้าใกล้เข้ามาทุกที"
"ความสุขที่แท้จริง คือรู้ว่าไม่มีเรา"
"ถ้าอยากได้ลาภ ลาภนั้นควรจะมาจากความดี" (เทปวิทยุ1386)
ขอนอบน้้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
-การฟังพระธรรม เป็นการฟังสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในชีวิต
-ไหนๆ ก็จะตายอยู่แล้ว การเป็นคนดีและฟังพระธรรมให้เข้าใจ จะไม่ควรกว่าหรือ
-สิ่งที่เป็นประโยชน์ คือ กุศลธรรม สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์เลยนั้น คือ อกุศลธรรม
-ชีวิตที่มีค่า คือ มีวันนี้ และได้ฟังพระธรรมให้เข้าใจ
-ระหว่างที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ได้สาระ ได้อะไรจากการมีชีวิตอยู่ ประโยชน์ สูงสุด คือ เข้าใจความจริง ซึ่งก็คือ "ธรรม" ซึ่งกำลังปรากฏในขณะนี้ ..ฯลฯ...
...กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์,
กราบขอบพระคุณ ท่านอจ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความรู้สึกระลึกพระคุณเป็นอย่างสูง ค่ะ
ประโยคเตือนสติ...จากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ถ้าท่านคบหาสมาคมกับคนดี ท่านก็ย่อมมีผู้ที่ชักนำ ชักจูง ให้ประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่ดี แต่ถ้าท่านเป็นผู้ที่คบหาสมาคมกับผู้ที่มีความประพฤติชั่ว ท่านก็ย่อมจะถูกชักจูง โน้มเอียงไปในทางชั่ว ทีละเล็กทีละน้อย ฉันใด แม้ความเห็นที่จะถูกหรือจะผิด ก็ขึ้นอยู่กับการคบหาสมาคม เช่นเดียวกัน ถ้าท่านคบหาสมาคมกับคนเห็นผิด โน้มเอียงไปในทางความเห็นผิด ขาดการพิจารณา ไตร่ตรองโดยแยบคาย ท่านก็ย่อมจะคล้อยตาม โน้มเอียงไปในความเห็นผิดนั้น แต่ถ้าท่านเป็นผู้ที่คบหาสมาคม กับผู้ที่มีความเห็นถูก ท่านก็จะได้รับการชักจูงโน้มเอียงไป ในการที่จะเป็นผู้ละเอียด และเป็นผู้ที่พิจารณา คล้อยตามคลองของธรรม ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นความเห็นถูกด้วย
ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณจักรกฤษณ์ด้วยค่ะ และ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๔ ค่ะ
ขอบคุณทุกท่านที่ได้นำประโยคเตือนของท่านอาจารย์ มาทบทวนกันลืม เป็นประโยชน์มากขออนุโมทนาครับ
เรียน พี่แดง (ความเห็นที่ ๘) ผมเห็นด้วยครับที่จะเปลี่ยนชื่อกระทู้นี้หรือจะตั้งกระทู้ใหม่เป็นชื่อที่พี่แดงเสนอเพราะมีความหมายที่ดีมาก และอยากให้หลายๆ ท่านได้แบ่งปันประโยคหรือถ้อยคำของท่านอาจารย์เพื่อจะได้บันทึกไว้สอนใจตนเองได้เป็นอย่างดีมากๆ ครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ
กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์
ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณจักรกฤษณ์ด้วยครับ และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๔ ครับ
ขออนุญาตลงเพิ่มเติม ประโยคของท่านอาจารย์ที่ควรฝังไว้ในใจครับ
"โลภะไม่เคยรอโอกาส แต่จะคอยแทรกอยู่ทุกขณะ"
"อยากจะให้สติปัฏฐานเกิด หรืออยากจะให้เข้าใจ"
"ฟังธรรมะต้องให้เข้าใจจริงๆ มิฉะนั้นเสียเวลาไปเปล่าๆ หมดเลย"
"อย่าชื่นชมยินดีกับ "คำ" (ในตำรา) เยอะๆ แต่ให้เข้าใจเป็นสำคัญ"
"ถ้าตั้งจิตไม่ดี ฟังธรรมะเพื่อเราจะได้รู้ ก็ไม่ถูกแล้ว"
"ฟังธรรมะเพื่อให้เห็นความลึกซึ่งอย่างยิ่งของพระธรรม"
"เห็นมีไหม เกิดหรือเปล่า เห็นดับไปไหม นั้นยังคือขั้นฟังอยู่"
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ
บางข้อความลืมไปแล้ว พอได้อ่านแล้วนึกได้ เกิดอาการปลื้มใจ มีความสุข
ขอบคุณทุกท่าน
กราบเท้าท่านอาจารย์ ด้วยความรักเคารพหมดใจ
มีความประทับใจมาก ตรงใจ เหตุที่หลายครั้งต้องการอยู่ตามลำพัง แต่ก็ไม่มีปัญญา เมื่ออยู่คนเดียว ยังหลงเพลิดเพลินกับสิ่งที่ไม่เป็นสาระ จำคำตอบบางตอนที่ท่านอาจารย์ตอบกระตุ้นเตือน "เวลาอยู่คนเดียว คิดถึงใครหรือเปล่า อยู่คนเดียวแล้วทำอะไร เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ... รู้ตัวหรือเปล่า อยู่กับโลภะเป็นส่วนใหญ่ ..โลภะใหญ่ มาจากโลภะเล็กๆ "
ขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกท่านค่ะ
จากคำบรรยาย "พื้นฐานพระอภิธรรม" ครั้งที่ ๒๖๐ มีข้อความที่ควรฝังไว้ในใจ ที่ชอบมาก คือ "ชีวิตของแต่ละคนก็คือเมล็ดพืช ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น ไม่มีใครสามารถรู้ได้เลยว่า ชีวิตจะเป็นไปอย่างไร จนกระทั่งถึงวันนี้ผ่านขณะที่ปฏิสนธิมากมาย โดยที่ก่อนนั้นจะไม่รู้เลยว่า แต่ละวันอะไรจะเกิดขึ้น แต่ปฏิสนธิก็ประมวลมาซึ่งกรรมที่จะให้ผล เป็นปัจจัย ให้ชีวิตดำเนินไป"
นี่คงต้องกับความหมายของประโยคภาษาอังกฤษที่คุณอล้น ไดร์เวอร์ ยกขึ้นมาว่า "Each moment cannot be lost."
แต่ละขณะไม่สามารถทำให้สูญหายไปได้ ไม่ว่าจะเป็นกุศลหรืออกุศล เกิดแล้วดับแล้ว แต่ก็สะสมอยู่ในจิต เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น และสามารถให้ผลได้เมื่อมีปัจจัยที่สมควร
กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ค่ะ
สิ่งที่มีค่าที่สุดของชีวิต คือ การเข้าใจพระธรรม มีชีวิตอยู่เพื่อปัญญาเกิด มีเมื่อคิด ถึงเวลา ณ กาลครั้งหนึ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่าน ระหว่างที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ได้สาระ ได้อะไรจากการ มีชีวิตอยู่ ประโยชน์ สูงสุด คือ เข้าใจความจริง ซึ่งก็คือ "ธรรม" ซึ่งกำลังปรากฏในขณะนี้ ...ฯลฯ...
กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ คุณจักรกฤษณ์ และทุกๆ ท่าน ครับ ... ประโยชน์ สูงสุด คือ เข้าใจความจริง ซึ่งก็คือ "ธรรม" ซึ่งกำลังปรากฏใน ขณะนี้ เห็นด้วยอย่างยิ่ง
ขออนุโมทนาดังๆ อีกครั้ง
ไม่ว่าประโยคไหนหรือประโยคทองของท่านอาจารย์เวลาอ่าน ดูกี่ทีก็ชวนพิจารณาตาม เวลาฟัง ฟังกี่ที ก็ชวนพิจารณาตาม ไม่อาจปล่อยให้หลุดผ่านไปโดยไม่พิจารณาไปด้วยไม่ได้เลย อัศจรรย์จริงๆ ทุกถ้อยคำบรรยายธรรมท่านพูดด้วยความมีสติ รู้จริง และแจ่มแจ้ง
ส่วนกระผมผู้ยังไปไม่ถึงฝั่ง คงต้องเพียรพยายามตั้งหน้าตั้งตา เพียรปฏิบัติให้มากต่อไป จะไม่เพียงแต่รู้ แล้วละเลยการกระทำผ่านไปแล้วผ่านมา ขอมีอาจารย์เป็นหนึ่งในแบบอย่างของฆาราวาส ผู้ชี้นำแสงสว่างทางปัญญาได้ผู้หนึ่ง
ขออนุญาตลงเพิ่มเติม ประโยคของท่านอาจารย์ที่ควรฝังไว้ในใจครับ
"เมื่อมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งปรากฏขึ้น แล้วไม่รู้ความจริงของสิ่งนั้น เกิดอีกกี่ชาติกี่ชาติก็ไม่รู้ความจริงของสิ่งนั้น ก็เป็นความไม่รู้เรื่อยๆ ไป"
"ธรรมะเป็นสิ่งที่มีจริง มีจริงเมื่อไหร่ เมื่อปรากฏให้รู้ ถ้าไม่ปรากฎแล้วเราจะไปรู้ความจริงของสิ่งนั้นได้อย่างไรก็เป็นเพียง "คิดเอา" เท่านั้น "
"ชาตินี้ เป็นชาติปางก่อนแน่ๆ เมื่อถึง ชาติหน้ากำลังสะสมหรือเปล่า แล้วก็อีกแสนชาติข้างหน้า ชาตินี้ก็เป็นชาติก่อนของแสนชาติหลัง จะสะสมไปอีกเท่าไร ก็แล้วแต่ ไม่มีใครสามารถรู้ได้ แต่ตราบใดที่ยังมีกิเลส ก็ต้องเกิดอยู่ "
"ต้องการแสวงหาธรรม เข้าใจธรรม รู้เรื่องธรรม ปฏิบัติธรรม ก็ต้องเข้าใจจริงๆ เสียก่อนว่า ธรรม คือ อะไร"
" ในการศึกษาอบรมเจริญปัญญา เพื่อรู้ความจริงในขั้นต้น ละคลายการยึดถือว่าเป็นเราเป็นตัวตนของเรา"
"ตลอดชีวิตนี้ ก็เป็นธรรม"
"การที่จะเข้าใจธรรมว่าเป็นธรรมะ ไม่ง่าย เพราะ สะสมความไม่รู้มานาน"
"ลูกศิษย์ถาม: ท่านอาจารย์ครับ ที่เราศึกษาธรรม เพราะอยากจะไปถึงจุดหมายปลายทาง เราจะทำอย่างไรครับ เช่น เราจะไปบางลำภู จะไปถึงได้อย่างไร ถ้าไม่รู้ทาง ท่านอาจารย์ตอบ : ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ ค่ะ"
"คนที่รู้ว่า อะไรเป็นกุศล กุศลย่อมเกิดได้ง่ายกว่าคนที่ไม่รู้ และก็ไม่ต้องคอยเวลาที่จะเป็นกุศลด้วย"
"ถ้ากิเลสเป็นรูปธรรม ไม่ใช่นามธรรม แม้แต่จักรวาลก็ไม่พอที่จะเก็บกิเลสเลย เพราะไม่ว่าอะไรๆ ก็เป็นอารมณ์ของกิเลส หรือทำให้เกิดกิเลสได้ทั้งนั้น"
"ข้อสำคัญ คือว่า ถ้าไม่ขจัดขัดเกลากิเลสด้วยการเจริญกุศลอยู่เรื่อยๆ ทุกครั้งที่มีโอกาส ก็ไม่มีทางที่กิเลสจะเบาบางเลงได้เลย "
"เราจะมีพระธรรมเป็นที่พึ่งไม่ได้ หากยังไม่เข้าใจพระธรรม"
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ
"อยู่เพื่อปัญญาปรากฎ จนกว่าจะอยู่ด้วยปัญญา"
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
ประโยคของท่านอาจารย์ที่ควรฝังไว้ในใจของแต่ละคนนั้น ก็แตกต่างกัันไป ตามการสะสม และกำลังของสติปัญญา อ่านแต่ละประโยคของคุณจักรกฤษณ์แล้ว รู้ว่า ลึกซึ้งมาก เป็นเรื่องของสภาพธรรมทั้งนั้น แสดงว่าที่ฝังนั้นลึกแค่ไหน
กราบอนุโมทนาค่ะ
ประโยคของท่านอาจารย์ที่ควรฝังไว้ในใจครับ
"ปกติถ้าเราสังเกตให้ดี เวลาที่อกุศลจิตเกิดขึ้น ขณะนั้นมักจะคิดถึงคนอื่น"
"อกุศลจิตของคนอื่นเห็นชัด จิตของตัวเองในขณะนั้นเป็นอะไร ทำไมถึงลืมจิตของตัวเองล่ะคะ อะไรสำคัญกว่า จิตของคนอื่นกับจิตของตนเอง อะไรสำคัญกว่า ถ้าจิตตนเองสำคัญกว่า ทำไมจึงให้บุคคลอื่นมาเป็นปัจจัยให้อกุศลจิตของตนเองเกิด"
"คนเราชอบเอาอกุศลฝากไว้ที่คนอื่น แล้วแต่เขาจะมาส่งให้เราเมื่อไหร่ เราก็รับเอาเป็นอกศุลของเรา เช่น คนอื่นหน้าบอกบุญไม่รับ ก็ไม่พอใจ รับอกุศลมาแล้ว"
"เพราะฉะนั้น อกุศลทั้งหมดไม่ได้อยู่ที่คนอื่นเลย ไม่ว่าหน้าตาจะบอกบุญไม่รับ ก็ไม่ใช่เหตุที่จะทำให้อกุศลจิตของท่านเกิดได้ ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะกิเลสของท่านเอง"
"ผู้ที่ต้องการขัดเกลากิเลส ต้องเห็นโทษของกิเลสในตัวเองเสียก่อน"
"ฟังพระธรรมแล้ว ต้องน้อมประพฤติปฏิบัติตาม จึงจะชื่อว่าเป็นผู้เคารพในพระธรรมจริงๆ "
"ฟังพระธรรมให้เข้าใจมากขึ้น แล้วจะเห็นกำลังของปัญญา"
"ถ้าจะรังเกียจกิเลส ต้องรังเกียจให้ทั่ว คือ รังเกียจความไม่รู้ด้วย"
"เมื่อปัญญาประจักษ์แจ้งในสภาพธรรม เมื่อนั้นก็จะถึงกาลที่กิเลสและสิ่งไม่ดีทั้งหลาย ค่อยๆ ลดลง น้อยลง จาก ๑๐๐ ก็อาจจะเหลือสักนิดๆ หน่อยๆ ค่ะ"
"ผู้ที่กล่าวแต่ชื่อ แต่ไม่รู้ ไม่น้อมไปเพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ก็เป็นเพียงผู้บ่นเพ้อเท่านั้น"
"ไม่อยากให้ไปไหนไกลๆ เรื่องชื่อธรรมะอะไรต่างๆ แต่ควรกลับมาสู่ความเข้าใจในสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้"
"เขามิได้กราบดิฉัน แต่เขากราบความเข้าใจธรรมะของดิฉันค่ะ"
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ