ญาตปริญญา และอื่นๆ (๑)
ข้อความบางตอนจากการบรรยายธรรมโดยท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ถาม ผมขอถาม ๔ คำ ญาตปริญญา ปหานปริญญา ญาณทัสสนะ และ วิมุติญาณทัสสนะ
ท่านอาจารย์ ญาตปริญญา ได้แก่ นามรูปปริจเฉทญาณ เป็นปัญญาที่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนื้ โดยสภาพที่ไม่ใช่ตัวตน และเป็นการแยกขาดลักษณะของ นามธรรม และ รูปธรรม
เพราะฉะนั้น ก็ต้องเป็นปัญญาขั้นประจักษ์แจ้ง ที่เป็น วิปัสสนาญาณ จึงสามารถจะรู้ได้ว่า ขณะนี้เห็นเป็นนามธรรม สี่งที่ปรากฏทางตาเป็นรูปธรรม โดยที่ไม่ใช่ตัวตน เป็นญาณขั้นต้น
ต่อจากนั้นเมื่อปัญญาเจริญขึ้นเป็นวิปัสสนาญาณขั้นต่อๆ ไป ก็จะมีการละคลาย การยึดถือสภาพธรรมเป็นตัวตน เป็น ปหานปริญญา ตั้งแต่ ภังคญาณ เพราะว่า วิปัสสนาญาณเจริญขึ้นตามลำดับขั้น คือตั้งแต่ นามรูปปริจเฉทญาณ เมื่อเป็นนามรูปปริจเฉทญาณแล้ว ก็รู้ปัจจัยของนามธรรมและรูปธรรม เป็น ปัจจยปริคคหญาณ ที่ประจักษ์แจ้งปัจจัยของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ไม่สงสัยว่าขณะนี้ที่กำลังเห็น มีปัจจัย คือ เป็นสี่งที่ปรากฏทางตา จึงต้องอาศัยจักขุปสาท ในขณะที่กำลังเห็น และในขณะที่กำลังได้ยินเสียง ก็สามารถจะรู้จริงๆ ว่า เพราะไม่ใช่เห็น สี่งที่ปรากฏในขณะที่ได้ยินเสียงตามปกติ ปัญญาก็สามารถที่จะรู้ได้ว่า ในขณะนั้น อาศัยโสตปสาทเป็นปัจจัย
ไม่ต้องคิดนึก เพราะว่าได้ยินเป็นสภาพที่กำลังได้ยิน และเห็นก็เป็นสภาพที่กำลังเห็น เพราะฉะนั้น เมื่อรู้ลักษณะจริงๆ ของนามธาตุ ซึ่งเป็นสภาพรู้ สี่งที่ต่างกันโดยเป็นปัจจัยต่างกัน เพราะว่าสี่งที่ปรากฏทางตาเป็นปัจจัยอย่างหนึ่ง ซึ่งต้องกระทบกับจักขุปสาท ส่วนเสียงก็เป็นปัจัย คือ เป็นรูปอีกอย่างหนึ่ง คือ ต้องกระทบโสตปสาท
นี่ก็แสดงให้เห็นว่า การที่มีความเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมในขณะนี้ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จะถึงวาระที่เป็นวิปัสสนาญาณ ที่จะสามารถที่จะรู้ทันที เมี่อลักษณะสภาพธรรมนั้นปรากฏ ว่าสภาพธรรมนั้นเกิดเพราะเหตุปัจจัย เป็นวิปัสสนาที่ ๒ คือ ปัจจยปริคหญาณ แต่แม้กระนั้นก็ยังไม่ละคลายการที่จะยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน แสดงให้เห็นว่าผู้ที่วิปัสสนาญาณเกิดจริงๆ สามารถที่จะรู้ความลึก ความเหนียว ความหนา ของการที่เคยยึดถึอสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เพราะฉะนั้นแม้ว่า จะรู้อย่างนั้น จะประจักษ์แจ้งธาตุที่เป็นสภาพรู้พร้อมทั้งปัจจัยในขณะนั้น ก็ยังมีการที่ยังคงยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนอีก ยังไม่เริ่ม เพียงแต่ว่า ญาตปริญญา คือ เป็นปัญญาที่รอบรู้ลักษณะของสภาพธรรม ที่ปรากฏเกิดขึ้น ตลอดจนกระทั่งประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรม ที่เป็นปัจจัยในขณะนั้นด้วย
และหลังจากนั้นเมื่อวิปัสสนาญาณเกิดครั้งที่ ๓ ก็จะเป็น สัมมสนญาณ คือ ประจักษ์การเกิดดับสืบต่อกัน ซึ่งเป็นปกติในขณะนี้ แต่ว่ากล่าวตามในขณะนี้ ถ้าผู้ใดกล่าวตามพระพุทธพจน์ ว่า นามธรรมและรูปธรรมเกิดดับ และพิจารณาตามก็รู้ได้ เสียงเกิด แล้วดับ เห็นก็ต้องเกิด แล้วดับ คิดนึกเกิดแทรก ก็ต้องเกิดแล้วดับ
นี่เป็นการไม่ประจักษ์แจ้ง แต่เมื่อเป็นสติสัมปชัญญะที่อบรมเจริญ จนกระทั่งมีการรู้ลักษณะของสภาพธรรมเพิ่มขึ้น ก็จะถึง สัมมสนญาณ ต่อจาก ปริคคหญาณ สัมมสนญาณประจักษ์สภาพธรรมที่กำลังเกิดดับอย่างรวดเร็ว โดยสภาพที่เป็นปัญญาที่รู้จริงๆ ในขณะนั้นไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล นี่ก็ยังเป็น ญาตปริญญา ยังไม่ใช่ ปหานปัญญา
(มีต่อ)