ถามเรื่องวิถีจิต
เมื่อเห็นแล้วเกิดวิถึจิต (เริ่มจากอตีตภวังค์ไปเรื่อยจนครบ 17) ที่ครบ 17 แปลว่าจากการเห็นเกินชวนะ (กุศล/อกุศล) ไปแล้ว หลังจากต่อก็มีมโนทวารวิถึเกิดต่อโดยมีชวนะเกิดด้วย หมายความว่าต่อการเห็น 1 ครั้งมีชวนะ 2 รอบหรือเปล่าครับ
ขอโทษทีครับ ขอแก้ไขที่ถามใหม่ คือมโนทวราวัชณจิตทำหน้าที่โวฏฐัพพนจิต (ขณะจิตที่ 8) ใช่หรือไม่ เมื่อตาเห็นแล้วเกิดวิถีจิต แต่ถ้าไม่เกิดทางปัญจทวาร ก็เป็นมโนทวารแล้วก็ชวนจิตเลยใช่ไหมครับ
มโนทวาราวัชชนจิต เป็นจิตชาติกิริยาซึ่งเกิดก่อนชวนจิตทุกครั้ง จิตนี้สามารถทำได้๒ กิจ คือ ทำอาวัชชนกิจทางมโนทวาร จึงชื่อว่า มโนทวาราวัชชนจิต ส่วนอีกกิจหนึ่งคือ ทำโวฎฐัพพกิจทางปัญจทวาร จึงเรียกชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า โวฏฐัพพจิต สามารถเรียกชื่อของจิตตามกิจที่กระทำตามทวารที่ต่างกัน แต่โดยประเภท โวฏฐัพพจิต ก็คือ มโนทวาราวัชชนจิตนั่นเอง เป็นจิตประเภทเดียวกัน
วาระของจิตทางหนึ่งๆ เช่น ทางตาบางวาระวิถีจิตก็ไม่เกิด (โมฆะวาระ) บางวาระวิถีจิตก็เกิดดับสืบต่อจนถึงโวฎฐัพพจิต (โวฏฐัพพนะวาระ) บางวาระวิถีจิตก็เกิดดับสืบต่อจนถึงชวนจิต (ชวนะวาระ) บางวาระวิถีจิตก็เกิดดับสืบต่อจนถึงตทาลัมพณจิต (ตทาลัมพณะวาระ) ตามปกติชวนจิตที่เกิดตามปกติของวิถีจิตทางต่างๆ จะเกิดดับสืบต่อกัน ๗ ขณะ ซึ่งการเกิดดับสืบต่อกันของจิตแต่ละดวงนั้นรวดเร็วมากเกินที่จะประมาณว่าขณะนี้เป็นชวนจิตที่เกิดทางใดกี่ขณะ หรือกี่วาระล่วงไปแล้ว
แต่เราศึกษาธรรม ศึกษาเรื่องของวิถีจิตให้เข้าใจว่าจิต มีจริง เป็นธรรม สิ่งที่ปรากฏทางตา มีจริง เป็นธรรม นามทั้งหลาย รูปทั้งหลายมีจริง เป็นธรรม ละเอียดลึกซึ้ง เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีใครสร้าง เกิดแล้วดับ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ถ้าพระผู้มีพระภาคไม่ทรงเปิดเผยความจริงของธรรมที่ทรงตรัสรู้แล้วโดยทั่ว จะไม่มีใครทราบว่าธรรมต่างๆ เช่น "เห็น" เป็นสิ่งที่มีจริงอย่างไร และไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใครอย่างไรได้เลย
ขอเชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่ครับ >>
ขอบคุณมากครับ แต่ตอนนี้กำลังสับสบเรื่องปัญจทวาราวัชชนจิต กับมโนทวาราวัชชนจิต ยกตัวอย่างแบบนี้นะครับ พอเห็นรูป (สมมติว่าเกิดวิถึจิตครบ 17 ขณะ) ตรงนี้พอเข้าใจแล้ว คือมีตั้งแต่อตีตภวัง ภวังคจลนะ ไปเรื่อยจนจบตทาลัมพนะ (ในนี้ให้เกิดครบ) หมายความว่าครบหนึ่งวิถีจิตก็มีปัญจทวราวัชชนจิตแล้ว และมีมโนทวาราวัชชนจิตทำโวฎฐัพพกิจทางปัญจทวาร (เห็น) แล้วก็เกิดชวนจิตซึ่งจะเป็นกุศลหรืออกุศลไปแล้ว ที่สงสัยและสับสนคือหมายความว่าตรงโวฎฐัพพจิต มโนทวราวัชชนจิตก็มีรูปที่เห็นเป็นอารมณ์ หลังจากนั้นก็เป็นชวนจิต แปลว่าจบไปหนึ่งวิถี แต่ถ้าสมมติว่าไม่ใช่เป็นเรื่อง เห็น เป็นเรื่องคิด ก็เริ่มที่มโททวาราวัชชนจิตทำโวฏฐัพพนะเลยใช่ไหมครับ ไม่มีรูป (หรืออื่นๆ ยกเว้นเรื่องที่คิด) เป็นอารมณ์
ขอบคุณท่านผู้ตอบจริงๆ ครับ
เรียน ความเห็นที่ 3
ถ้าเป็นการรู้อารมณ์ทางมโนทวาร วิถีจิตแรก เริ่มที่มโนทวาราวัชชนจิตครับ แต่ทำ
อาวัชชนกิจ ไม่ได้ทำโวฏฐัพพนกิจ มโนทวาราวัชชนจิต เป็นจิตที่ทำได้ ๒ กิจครับคือ ทำอาวัชชนกิจทางมโนทวาร หรือ ทำโวฏฐัพพนกิจทางปัญจทวาร สำหรับการรู้อารมณ์ทางมโนทวาร สามารถรู้ได้ทุกอารมณ์ แต่รู้ทีละอารมณ์ และรู้ได้ตามเหตุตามปัจจัย นามธรรมแต่ละอย่างๆ ซึ่งเกิดดับสืบต่อกัน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน นามธรรม คือ จิต เจตสิก เป็นสิ่งที่มีจริง และก็กำลังมีในขณะนี้ การฟังธรรม การศึกษาธรรม ถ้าเข้าใจธรรมถูกต้องจริงๆ ย่อมปรุงแต่งให้ปัญญารู้ชัดในสภาพธรรมที่ปรากฏในขณะนี้ แม้ว่าเรื่องชื่อของธรรมต่างๆ จะเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องศึกษาโดยละเอียด แต่เราไม่ควรลืมว่าธรรมไม่ได้เป็นเพียงแต่ชื่อหรือคำที่เรารู้และเรียกได้แต่ว่า ธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ เป็นสิ่งที่ปัญญาควรรู้ เพื่อละคลายการยึดถือว่าธรรมทั้งหลายเป็นตัวตน เพราะความจริง ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาทั้งหมดครับ