อวิชชาในปฏิจจสมุปบาท
ขออนุญาตเรียนถามท่านอาจารย์วิทยากรว่า
อวิชชาในปฏิจจสมุปบาทนั้น มีการ เกิด-ดับ อยู่ตลอดเวลาด้วยหรือไม่ครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
ผมขออนุญาติร่วมสนทนาครับ (แต่ไม่ใช่ในฐานะท่านอาจารย์วิทยากรนะครับ)
ปฏิจจสมุปบาท คือ ธรรมฝ่ายวัฏฏะที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้นเป็นไป ตั้งต้นด้วยอวิชชา คือ ความไม่รู้สภาพธรรมตามเป็นจริง แต่อวิชชาที่กล่าวถึงโดยนัยนี้เป็นอกุศลระดับใด ขณะไหน ก็ต้องสอดคล้องกับนัยของพระอภิธรรมด้วยเช่นกันใช่ไหมครับ ถ้าเป็นอวิชชานุสัย ย่อมนอนเนื่องอยู่ในจิตของผู้ที่ยังมีกิเลส คือ มี แต่ไม่ปรากฏอาการไม่เกิดขึ้น แต่เป็นเชื้อให้อกุศลในระดับกลางและระดับหยาบเกิดได้ ซึ่งถ้าเป็นอวิชชาที่เกิดขึ้น นั่นหมายถึงว่าอวิชชาขณะนั้น ไม่ใช่ระดับอนุสัย หยาบกว่าอนุสัย เมื่อเกิดขึ้นและดับไป ย่อมไม่ได้เกิดดับอยู่ตลอดเวลา เพราะเหตุว่าอวิชชาเกิดกับอกุศลจิตเท่านั้น อวิชชาไม่เกิดกับจิตประเภทอื่นเลย จิตเห็น ไม่ใช่อกุศลจิต อวิชชาจึงเกิดดับตลอดเวลาไม่ได้ครับ แต่จิตเห็นที่เกิดได้ เพราะเป็นผลของกุศลกรรม หรือ อกุศล-กรรม ซึ่งเนื่องมาจาก อวิชชาที่ยังไม่ได้ดับ อวิชชาในปฏิจสมุปบาท จึงเป็นปัจจัยให้เกิดอภิสังขาร คือ เจตนาฝ่ายกุศล หรือ เจตนาฝ่ายอกุศล ซึ่งจะเป็นปัจจัยให้ธรรมฝ่ายเกิด เกิดขึ้นเป็นไปในสังสารวัฏฏ์ต่อไป ไม่สิ้นสุด ตราบใดที่ยังไม่ได้ดับอวิชชาครับ (แต่ปฏิจสมุปบาทยากมากนะครับ ...เราจะไม่หมดความสงสัยเลย ถ้าไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงในขณะนี้ จนถึงขั้นที่ดับกิเลสถึงความเป็นพระโสดาบัน)
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณ Chaiyut มากครับที่กรุณาอธิบายในรายละเอียด
สรุปได้ว่า หากอวิชชา เป็น อนุสัย ก็จะมีลักษณะที่นอนเนื่องอยู่ในจิตแต่ละดวงที่เกิดดับอยู่ ไม่ว่าจะเป็นอกุศลจิต และกุศลจิต ของผู้ที่ยังไม่อาจดับอวิชชาได้ (ตั้งแต่ปุถุชน ถึง พระอนาคามี)
แต่หากเป็นอวิชชาซึ่งหมายถึงโมหมูลจิต ซึ่งอยู่ในขั้นกลาง และหยาบ ก็จะเกิดขึ้นพร้อมอกุศลจิตและดับไปพร้อมกัน แต่มิได้เกิดขึ้นตลอดเวลา
อวิชชาทั้งสองประเภทนี้ จัดได้ว่าเป็นอวิชชาซึ่งอยู่ในวงจรปฏิจจสมุปบาท กล่าวคือ เป็นเหตุให้เกิดสังขารอันหมายถึง อภิสังขาร ซึ่งเป็นไปในอกุศล กุศล และอรูป ได้เช่นกัน
ไม่ทราบว่าถูกต้องหรือไม่ครับ
"จิตเห็น ไม่ใช่อกุศลจิต อวิชชาจึงเกิดดับตลอดเวลาไม่ได้ครับแต่จิตเห็นที่เกิดได้ เพราะเป็นผลของกุศลกรรม หรือ อกุศลกรรมซึ่งเนื่องมาจาก อวิชชาที่ยังไม่ได้ดับ"
__/l___ สาธุ สาธุ อธิบายแจ่มกระจ่างแท้
ขออนุโมทนาด้วยคนขอรับ
เรียนคุณจักรกฤษณ์ครับ
เพราะฉะนั้น หนทางหลุดพ้นที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ทรงแสดง จึงเป็นธรรมฝ่ายดับโดยตลอด จนกว่าปัญญาจะดับ และสำรอกอวิชชาออกทั้งหมด ถึงความเป็นพระอรหันต์ ซึ่งถ้าไม่ได้ดับอวิชชาที่เป็นกิเลสวัฏฏ์ตราบใด อวิชชาย่อมเป็นปัจจัยให้เกิดกุศลกรรม หรือ อกุศลกรรมซึ่งเป็นกัมมวัฏฏ์ เมื่อกัมมวัฏฏ์มี ย่อมเป็นปัจจัยให้วิปากวัฏฏ์มี เมื่อได้รับผลของกรรม และอวิชชายังมี ก็จะเป็นปัจจัยให้อภิสังขารมี วนเวียนอยู่อย่างนี้ต่อไปในสังสารวัฏฏ์ครับ ความละเอียดของปฏิจจสมุปบาทนั้นลึกซึ้งมากเราคงจะค่อยๆ เข้าใจได้ในขั้นฟัง และศึกษาตามพยัญชนะ แต่ไม่สามารถจะเข้าใจแจ่มแจ้งชัดเจนได้ทั้งหมด จนกว่าความรู้ในสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ จะมั่นคงเพิ่มขึ้นครับ เป็นทางเดียวที่ปัญญาของเรา จะเห็นถูกว่าสิ่งที่ทรงแสดงไว้ เป็นจริง ตรงตามนั้น เพราะความจริงแล้ว ปฏิจจสมุปบาทที่ทรงแสดง ก็หมายถึง ความเป็นไปของสภาพธรรมที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้นในขณะนี้นี่เอง แต่ละสภาพธรรมจะเนื่องกันโดยกาลไหน ปัจจัยอะไร ก็ขึ้นอยู่กับความเป็นไปของสภาพธรรมนั้นๆ ซึ่งทั้งหมดเป็นสิ่งที่ควรรู้ถูกต้องว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เรา มีจริง และเป็นอนัตตาครับ
สำหรับรายละเอียดการศึกษาอรรถกถาปฏิจจสมุปบาท อยู่หน้าที่ ๔๗๕ นะครับ
ขอเชิญคลิกอ่านที่นี่
[เล่มที่ 77] อ่าน...พระไตรปิฏกและอรรถกถาฉบับมหามกุฏ เล่ม ๗๗