... สงคราม ...
วันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑
"...สงคราม..."
ท่านอาจารย์ ลองคิดดูค่ะ สงครามที่ว่านี้ สงครามอะไร เคยมีกำลังพลมากมาย โลภะ และ อวิชชา พร้อมที่จะเคลื่อนพลไปขยับไปตลอดเวลา แล้วใครจะชนะ ถ้าไม่ใช่เป็นปัญญาที่เป็นความเห็นถูกต้องจริงๆ ที่ค่อยๆ สะสม จะรู้ได้เลยว่า ความไม่รู้จะทำให้เกิดความไม่รู้เพิ่มขึ้น ไม่มีทางที่จะเป็นความรู้ได้ นอกจากการที่ฟังสิ่งที่คิดเองไม่ได้ และอย่าไปคิดเองด้วยเพราะคิดเองก็ต้องผิด แต่พระธรรมที่ทรงแสดง ๔๕ พรรษาโดยประการทั้งปวง ที่จะกันความเห็นผิด ถ้าคนนั้นเป็นผู้ที่ไตร่ตรอง และเป็นผู้ที่ละเอียด ก็จะพ้นจากความเห็นผิดได้ เพราะรู้เลยว่า ธรรมทั้งหมด เพื่อละ ไม่ใช่เพื่อติดข้องเพราะฉะนั้น ถ้ากำลังติดข้อง ให้รู้เลยว่าผิด (ทาง) แล้วค่ะ ไม่ใช่ธรรม (ปัญญา) หาวิธีเมื่อไร ก็คือผิดอีก เพราะไม่ใช่การที่จะรู้ว่าเป็นธรรม ซึ่งเกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย
คุณอรวรรณ เพราะฉะนั้น สรุปแล้ว ไม่มีอะไรเลย นอกจากฟังให้เข้าใจ สิ่งที่ได้ฟังในขณะนี้
ท่านอาจารย์ ตรงกับการเข้าใจว่าสังขารขันธ์ปรุงแต่งไหม ไม่ใช่เรา แล้วจะไปทำอะไร นอกจากขณะนี้ ใครจะรู้บ้างว่า เจตสิกทำหน้าที่ของเจตสิก ปรุงแต่งจากขณะหนึ่งไปอีกขณะหนึ่ง จากการไม่ค่อยๆ เข้าใจ เป็นเข้าใจขึ้น ไม่มีใครต้องไปทำอะไรเลยมิฉะนั้น เราจะศึกษาเรื่องปรมัตถธรรม จิต เจตสิก รูปทำไม แต่ศึกษาเพื่อให้รู้ว่า ขณะนี้สภาพธรรมเกิดแล้ว ตามเหตุตามปัจจัย ไม่มีใครไปทำอะไรได้เลย กำลังหวังจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ ก็เพราะไม่รู้ว่า แท้ที่จริงแล้ว ทุกอย่างเกิด เพราะปัจจัย คือ สภาพธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้น จิตต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยแล้วก็เลือกไม่ได้ด้วย ขณะนี้กำลังทำหน้าที่อย่างนั้นอยู่แล้ว
คุณอรวรรณ เพราะฉะนั้น ถ้าฟังให้เข้าใจสิ่งที่กำลังฟังอยู่นี้ ยกตัวอย่างว่า เดิมจิตเต็มไปด้วยโลภะ อวิชชาที่ไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง เมื่อฟังเข้าใจ สังขารขันธ์ที่เข้าใจนี้ ก็จะค่อยๆ ละความไม่เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริงอยู่แล้ว ไม่มีตัวตนที่จะไปทำอะไรทั้งนั้นจริงๆ ถ้าเข้าใจอย่างนี้ก็สะสมความเข้าใจไปเรื่อยๆ ก็จะทำกิจค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ และความต้องการที่จะทำให้เป็นเครื่องกั้นความรู้
ท่านอาจารย์ นี่คือความอดทนอย่างยิ่ง