ผู้บ่นเพ้อธรรม
การศึกษาธรรมต้องมีจุดประสงค์ที่ถูกต้องในการศึกษา เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริง ศึกษาให้เข้าใจจริงๆ ว่า สิ่งที่มีจริงเป็นธรรมะ ธรรมะคือสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏในชีวิตประจำวัน ควรที่จะได้เข้าใจถึงลักษณะจริงๆ ของธรรม ไม่ใช่เพียงจำชื่อได้มากๆ แต่ไม่เข้าใจก็ไม่เป็นประโยชน์ ไม่ใช่ศึกษาธรรมเพื่อที่จะได้มาพูดคุยธรรมได้มากๆ มาโอ้อวดกัน การศึกษาพระธรรมผิด เปรียบการจับงูข้างหางซึ่งจะถูกแว้งกัดเข้าให้ ควรที่จะศึกษาโดยพิจารณาให้แยบคายในสิ่งที่กำลังปรากฏ.....
ขณะเห็น ไม่ใช่ขณะจำ ไม่ใช่ขณะคิด ค่อยๆ เข้าใจทีละนิดจริงๆ ไม่เช่นนั้นก็เป็น...ผู้บ่นเพ้อแต่ธรรม
ขอเชิญคลิกอ่านได้ที่...บ่นเพ้อธรรม [มหาวิภังค์]
[เล่มที่ 47] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่มที่ ๑ ภาค ๖ - หน้าที่ ๒๗๐
บุคคล ไม่ทำให้แจ้งซึ่งธรรมแม้ ๒ อย่าง ด้วยปัญญาของตนแล้วและไม่ใคร่ครวญเนื้อความแม้สักว่า คำว่า อนิจจัง คำว่า ทุกขัง และคำว่า อนัตตา ในสำนักของบุคคลผู้เป็นพหูสูตทั้งหลาย ไม่รู้อยู่เพราะความที่ตนไม่รู้ได้ด้วยตนเอง และชื่อว่ายังข้ามความสงสัยไม่ได้ เพราะตนยังไม่ได้พิจารณาใคร่ครวญ แล้วอาจเพื่อจะทำบุคคลอื่นให้เพ่งเล็ง คือ ให้เพ่งพินิจได้อย่างไรดังนี้. ในข้อนี้ผู้ศึกษาพึงระลึกถึงสุตตบท มีอาทิอย่างนี้ว่า ดูก่อนจุนทะผู้นั้นแล ชื่อว่า บ่นเพ้ออยู่ด้วยตนเอง ดังนี้.
....ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ...
"...ไม่ใช่เพียงจำชื่อได้มากๆ แต่ไม่เข้าใจ ก็ไม่เป็นประโยชน์ ไม่ใช่ศึกษาธรรมเพื่อที่จะได้มาพูดคุยธรรมได้มากๆ มาโอ้อวดกัน..."
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่เมตตาด้วยครับ
การโพสต์ธรรมะที่ตนเองยังไม่ประจักษ์ จัดเป็นการบ่นเพ้อธรรมด้วยมั้ยครับ เช่น อาจจะโพสต์ข้อความธรรมะในพื้นที่ส่วนตัว เพื่อประสงค์ให้คนที่สนิทได้อ่าน เผื่อเขาจะเปลี่ยนใจจากนั่งสมาธิมาศึกษาพระธรรม
เรียนคุณเจริญนคร
เราพูดจากความเข้าใจพระธรรม มีความเข้าใจตามพระธรรมโดยไม่ได้คิดเอาเอง พูดถึงธรรมะที่มีจริง ที่สามารถจะเข้าใจได้ ถึงแม่ว่ายังไม่สามารถจะรู้ได้ประจักษ์ได้ในขณะนี้ก็เป็นการพูดด้วยความเข้าใจ เช่น พูดถึง เห็น ได้ยิน............สามารถที่จะให้เพื่อนสนิทเข้าใจได้เพราะ เห็น มีจริงๆ จะพูดถึง ปฏิจสมุปาทะ ขันธ์ อายตนะ อริยสัจจ์ ๔ ก็ไม่ใช่พูดเพ้อแต่ชื่อของธรรมโดยไม่เข้าใจธรรมแต่พูดถึงสิ่งที่มีจริง เช่น พูดถึง อริยสัจจ์ ๔ ก็ไม่พ้นจากความจริงขณะนี้ เห็น ได้ยิน.. มีจริง เกิดแล้วก็ดับไป เป็น ทุกขสัจจ์ เราสามารถที่จะพูดถึงสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏซึ่งไม่พ้นขณะนี้ให้เข้าใจได้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏเป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง ซึ่งก็ไม่พ้นจาก ๖ ทวาร ทางตา...และทางใจ ไม่ใช่ไปพูดแต่สิ่งที่ไม่ได้ปรากฏ พูดแต่ชื่อธรรมต่างๆ โดยไม่เข้าใจก็เป็นผู้บ่นเพ้อธรรมค่ะ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ......
พี่เมตตาครับ ขอเรียนถามว่า ถ้าเรากำลังเริ่มศึกษาธรรม อะไรจะเป็นข้อแตกต่างที่จะช่วยให้รู้ว่า ขณะนี้กำลังฟังการแสดงธรรมที่เป็นความจริงอยู่ หรือว่า กำลังฟังการบ่นเพ้อธรรมอยู่ครับ
เรียนน้อง chaiyut
ขณะที่กำลังฟังการแสดงธรรมที่เป็นความจริงอยู่เช่น ท่านอาจารย์จะแสดงว่า ขณะเห็น มีจริงๆ เมื่อหลับตาก็จะไม่เห็น เมื่อลืมตาก็จะเห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา เห็นเป็นธาตุรู้ เป็นสิ่งที่มีจริงๆ ขณะได้ยินก็มีจริงๆ ขณะคิดก็ไม่ใช่ขณะ เห็น ไม่ใช่ขณะได้ยิน ขณะคิด ก็ไม่ใช่ขณะจำ ทุกขณะเป็นสิ่งที่มีจริงสามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจได้ ถ้าไม่ได้ฟังการแสดงที่เป็นสิ่งที่มีจริง ก็กำลังฟังการบ่นเพ้อธรรมอยู่ค่ะ
ขออนุโมทนาในคำตอบของพี่เมตตามากครับ
และขอเรียนถามพี่เมตตาเพิ่มเติมอีกข้อหนึ่งครับว่า
สำหรับในส่วนของผู้แสดงธรรม สิ่งใดจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้ผู้แสดงธรรมรู้ตัวว่า กำลังมีเจตนาที่จะแสดงธรรม หรือ กำลังมีเจตนาที่จะพูดบ่นเพ้อธรรมครับ และผู้แสดงธรรมควรพิจารณาอย่างไรให้การแสดงธรรมของตนถึงประโยชน์โดยตรงแก่ผู้ฟังจริงๆ
เรียนน้อง chaiyut ค่ะ
วันนี้พี่ได้กราบเรียนท่านอาจารย์ ในชั่วโมงสนทนาปฏิบัติธรรม ท่านอาจารย์ได้ให้ข้อคิดที่ดีมากค่ะว่า เมื่อมีความเข้าใจแล้วก็สนทนากันเพื่อความเข้าใจขึ้น เมื่อมีความเข้าใจสิ่งที่กำลังฟังจริงๆ แล้วก็จะหมดปัญหาค่ะ
...ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาและกุศลจิตของน้อง chaiyut ด้วยค่ะ...
ขุททกนิกาย ชาดก เล่มที่ ๓ ภาคที่ ๑ หน้า ๑ ๑. อปัณณกชาดก (ว่าด้วยการรู้ฐานะและมิใช่ฐานะ) [๑] คนพวกหนึ่ง กล่าวฐานะอันหนึ่งว่าไม่ได้ นักเดาทั้งหลาย กล่าวฐานะอันนั้นว่า เป็นที่สอง คนมีปัญญารู้ฐานะและมิใช่ฐานะนั้นแล้ว ควรถือเอาฐานะที่ไม่ผิดไว้.
ขออนุโมทนาพี่เมตตามากครับที่ได้กรุณาเรียนถามท่านอาจารย์ เพื่อให้ท่านอาจารย์ได้ช่วยเกื้อกูลผมและท่านอื่นๆ ดังนั้น คำตอบจากคำถามของผมก็คือต้องเป็นความเข้าใจถูกจริงๆ ในสิ่งที่กำลังฟัง และสิ่งนั้นที่ฟังและสนทนากัน ต้องเป็นสิ่งที่เป็นธรรมคือมีจริงแม้ในขณะที่เรากำลังสนทนากัน และพิสูจน์ได้ด้วยความเข้าใจของแต่ละคน
ขอขอบพระคุณอีกครั้งครับ
ผมคิดว่า
การเจริญมรรคมีองค์ 8 ก๊ค่อยๆ เจริญไป จนครบ 8 ไม่ได้เริ่มเจริญทีละ 8 เวลากล่าวถึงมรรค ต้องกล่าวทั้ง 8 หรือจะกล่าวเฉพาะที่เราเจริญหรือครับ ผมพิจารณาแล้วว่า ควรจะกล่าว ทั้ง 8 ถ้าไม่กล่าวถึงมรรคทั้ง 8 จะเจริญมรรค 8 ได้อย่างไร ก็เพื่อประโยชน์เพื่อความเข้าใจยิ่งๆ ขึ้นไป ผมคิดว่าบ่นเพ้อก็เพื่อการไม่บ่นเพ้อ ผมคิดว่าการบ่นเพ้อธรรมเป็นเรื่องธรรมดา
ถ้าเป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อการพ้นจากทุกข์ทั้งมวล ผมไม่สนใจว่าใครบ่นไม่บ่น ตั้งจิตไว้ชอบ โดยอุบายอันแยบคาย (ในระดับหนึ่ง แต่อกุศลเกิดแทรกได้) ให้ความเคารพแด่ผู้แสดงธรรม ผมยินดีที่จะน้อมรับฟังทุกท่าน และอนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
เรียนความคิดเห็นที่ 15 ค่ะ
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงทางสายเอก คือ การอบรมเจริญสติปัฏฐาน หรือการเจริญมรรคมีองค์ ๘ นั่นเอง เพื่อการบรรลุถึงการพ้นจากทุกข์ทั้งปวง การอบรมเจริญมรรตมีองค์ ๘ ก็ต้องเริ่มจากสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นที่ถูกเข้าใจถูกในลักษณะสภาพธรรมตรงตามความเป็นจริงเป็นอันดับแรกก่อนซึ่งก็ไม้พ้นไปจากการฟังให้เข้าใจก่อนว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง ซึ่งก็คือ ธรรมะที่กำลังปรากฏอยู่ในชีวิตประจำวันไม่พ้นไปจากทางตา ทางหู...และทางใจ พระธรรมนั้นลึกซึ้ง รู้ตามได้ยาก เห็นตามได้ยาก ต้องไม่เป็นผู้เผินที่จะเป็นผู้ตรงที่พิจารณาด้วยเหตุผลให้เข้าใจจริงๆ จึงจะได้สาระจากพระธรรมค่ะ
ขอเชิญคลิกอ่านได้ที่...
พระธรรมลึกซึ้ง รู้ตาม เห็นตามได้ยาก [มหาสติปัฏฐานสูตร]
มุ่งเจริญสติปัฏฐานอย่างเดียว ไม่พอ .
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ...