วิเวกสูตร.. เทวดาเตือนภิกษุ
วิเวกสูตร
เทวดาเตือนภิกษุ
ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง ภิกษุรูปหนึ่ง พำนักอยู่ในแนวป่าแห่งหนึ่ง ในแคว้นโกศล
สมัยนั้นแล ภิกษุรูปนั้น พักผ่อนกลางวัน ตรึกอกุศลวิตกลามกอิงอาศัยเรือน
ครั้งนั้น เทวดาที่สิงอยู่ในป่านั้น มีความเอ็นดูใคร่ประโยชน์แก่ภิกษุนั้น
หวังจะให้เธอสลดใจ จึงเข้าไปหาแล้ว กล่าวกะเธอด้วยคาถาว่า
ท่านใคร่วิเวก จึงเข้าป่า
ส่วนใจของท่านแส่ซ่านไปภายนอก
ท่านเป็นคนจงกำจัดความพอใจในคนเสีย
แต่นั้นท่านจักเป็นผู้มีความสุข
ปราศจากความกำหนัด
ท่านมีสติ ละความยินดีเสียได้
เราเตือนให้ท่านระลึกถึงธรรมของสัตบุรุษ
ธุลีคือกิเลสประดุจบาดาลที่ข้ามได้ยาก
ได้แก่ความกำหนัดในกาม อย่าได้ครอบงำท่านเลย
นกที่เปื้อนฝุ่น ย่อมสลัดธุลีที่แปดเปื้อนให้ตกไป ฉันใด
ภิกษุผู้ มีความเพียร มีสติ
ย่อมสลัดธุลีคือกิเลสที่แปดเปื้อนให้ตกไปฉันนั้น ดังนี้.
ลำดับนั้น ภิกษุนั้นเป็นผู้อันเทวดานั้นเตือนให้สังเวช
ถึงซึ่งความสลดใจแล้วแล.
วนสังยุตตวรรณนา
สมัยนั้น สำหรับพระภิกษุที่ท่านได้สะสมปัญญามามาก
ท่านคงจะสลัดความกำหนัดในกามได้ไม่ยาก เหมือนนกที่สลัดฝุ่นออกจากตัวแต่ในส่วนของคฤหัสถ์ผู้บริโภคกามอย่างเรานี้ เหมือนช้างตกหล่ม
จะยกตัวเองขึ้นมาจากหล่มคือกามได้โดยพลัน เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย
เพราะเราสะสมความพอใจในคนมามาก และอกุศลวิตกที่ตรึกไปในกามก็เกิดมาก
ยังต้องอบรมปัญญาให้เข้าใจถูกว่า สิ่งที่มีมาก ก็เป็นธรรม ไม่ใช่เรา ต่อไป
อบรมต่อไปอีกมากและอีกนานทีเดียว ....จิรกาลภาวนาจริงๆ นะครับ
ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณหมอครับ
ขอบพระคุณและอนุโมทนาคุณchaiyutและคุณจักรกฤษณ์มากครับ
เป็นความคิดเห็นที่ดีมากครับ
แต่ผมว่าพระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอน ที่จะต้องอบรมอีกนานมาก
ถ้าเป็นสี่งที่เข้าใจตามได้ ก็อบรมเจริญสติไปเรื่อยๆ จะนานมากเท่าไรก็แล้วแต่
สมัยนั้น สำหรับพระภิกษุที่ท่านได้สะสมปัญญามามาก
ท่านคงจะสลัดความกำหนัดในกาม เหมือนนกสลัดฝุ่นออกจากตัวได้ไม่ยาก
แต่ในส่วนของคฤหัสถ์ผู้บริโภคกามอย่างเรานี้ เหมือนช้างตกหล่ม
จะยกตัวเองขึ้นมาจากหล่มคือกามได้โดยพลัน เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย
ขอบพระคุณและขออนุโมทนา น้องchaiyut ค่ะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณหมอ ด้วยค่ะ