การละทิฏฐิ ด้วยปัญญาอันชอบ
การละทิฏฐิ ด้วยปัญญาอันชอบว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่ใช่นั่น นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา
ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี. ครั้งนั้น เวลาเย็น ท่านพระมหา จุนทะออกจากที่พักผ่อนแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า. ถวายบังคม แล้ว นั่ง ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง. แล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ทิฏฐิเหล่านี้มีประการต่างๆ ประกอบด้วยการกล่าว ปรารภอัตตา (อัตตวาทะ) บ้าง ประกอบด้วยการกล่าวปรารภโลก (โลกวาทะ) บ้าง ย่อมเกิดขึ้นในโลก เมื่อภิกษุมนสิการธรรมเบื้องต้น เท่านั้น การละทิฏฐิเหล่านั้น การสลัดทิ้งซึ่งทิฏฐิเหล่านั้น จะมีได้ด้วยอุบาย เหล่านี้ พระเจ้าข้า.
การละทิฏฐิ
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนจุนทะ ทิฏฐิเหล่านี้ มีหลายประการ ประกอบด้วยอัตตวาทะบ้าง ประกอบด้วยโลกวาทะบ้าง ย่อมเกิดขึ้นในโลก ก็ทิฏฐิเหล่านั้นย่อมเกิดขึ้นในอารมณ์ใด ย่อมนอนเนื่องอยู่ในอารมณ์ใด และฟุ้งขึ้นในอารมณ์ใด
เมื่อภิกษุเห็นอารมณ์นั้นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่ใช่นั่น นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา ดังนี้ การละทิฏฐิเหล่านั้น การสลัดทิ้งซึ่งทิฏฐิเหล่านั้น ย่อมมีได้ด้วยอุบายอย่างนี้.
" เห็นอารมณ์นั้น ด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริง "
ความสำคัญคือปัญญาตรงนี้จริงๆ ครับ เพราะเป็นการอบรมเจริญสติปัฏฐานพระผู้มีพระภาคทรงอนุเคราะห์ให้สาวกแม้ปุถุชน " เป็นผู้มีปรกติเจริญสติปัฏฐาน "
ไม่ได้ทรงห้าม ว่าไม่ให้ทิฏฐิเจตสิกของผู้ที่เป็นปุถุชนเกิด เพราะห้ามไม่ได้ ทิฏฐิก็เป็นธรรม ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา มีปัจจัยที่ความเห็นผิดจะเกิด ความเห็นผิดก็ต้องเกิดแต่เกิดแล้ว ปัญญาเห็นสิ่งนั้นถูกต้องตามความเป็นจริง โดยการรู้ชัดในอารมณ์ที่ปรากฏได้ เพื่อถอนความเห็นผิดที่ยึดถือในอารมณ์นั้นออกคำถามของท่านพระมหาจุนทะ เป็นเหตุให้พระผู้มีพระภาคได้ทรงเกื้อกูลด้วยการทรงแสดงพระธรรม นับว่าเป็นประโยชน์นับประมาณมิได้แก่สาวกรุ่นหลังอย่างพวกเราจริงๆ ครับ
ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณหมอครับ
ขอบพระคุณและอนุโมทนาคุณ chaiyut มากครับ
ขอบคุณที่ข่วย adjust เวปให้ดีขึ้นครับ
ผมพิจารณาแล้ว ปืติ กว่าที่ไม่ได้อ่าน พระธรรม คำสั่งสอนนี้ครับ
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
เพราะสัตว์ทั้งหลายอาศัยตัณหานุสัยอันสั่งสมมา จึงทำให้ติดข้องอุปมาดั่งสีย้อมผ้าว่า นั่นเป็นของเรา แต่พระสุคตเจ้าทรงตรัสรู้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เพราะทรงรอบรู้ ทรงกำหนดรู้ และทรงละแล้วซึ่งตัณหานุสัยในสิ่งทั้งปวง (กาย เวทนา จิต ธรรม กล่าวคืออุปาทานขันธ์ 5) ด้วยทุกขานุปัสสนา เพราะสัตว์ทั้งหลายอาศัยมานานุสัยอันสั่งสมมา จึงทำให้หลงตัวเองดุจธงเด่นว่า เราเป็นนั่น แต่พระตถาคตเจ้าทรงตรัสรู้ว่า เราไม่เป็นนั่น เพราะทรงรอบรู้ ทรงกำหนดรู้และทรงละแล้วซึ่งมานานุสัยในสิ่งทั้งปวงด้วยอนิจจานุปัสสนา เพราะสัตว์ทั้งหลายอาศัยทิฏฐานุสัยอันสั่งสมมา จึงทำให้เห็นผิดราวกะเห็นกงจักรเป็นดอกบัวว่า นั่นเป็นอัตตาของเรา แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่า นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา เพราะทรงรอบรู้ ทรงกำหนดรู้ และทรงละแล้วซึ่งทิฏฐานุสัยในสิ่งทั้งปวงด้วยอนัตตานุปัสสนา ผู้ปรารถนาการดับกองทุกข์อย่างสนิทเหมือนไฟสิ้นเชื้อด้วยพรหมจรรย์ในพระพุทธศาสนานี้พึงปรารภความเพียร อบรม เจริญ กระทำให้มากด้วยดีซึ่งอนุปัสสนา 3 นี้
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ไม่มีผู้ใดที่รู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้เลย ... แม้ปัญญาขั้นวิปัสสนาญาณก็เกิดไม่ได้เลย ถ้ายังไม่มีความเข้าในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ว่า ทางตา ทางหู ... และ ทางใจ อะไรเป็นนามธรรม อะไรเป็นรูปธรรม "เห็น' เป็นนามธรรม เป็นสภาพรู้ ส่วน "สิ่งที่ปรากฏทางตา" เป็นรูปธรรมเป็นสภาพที่ไม่รู้อะไรเลย ต้องเริ่มจากการฟังให้ เข้าใจสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏขณะนี้ให้มั่นคงจริงๆ
... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ ...