ปัญญารู้ตามความเป็นจริง ไม่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง
ข้อความบางตอนจากการบรรยายธรรมโดยท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ท่านอาจารย์......."วิปลาส" ความคลาดเคลื่อนมี ๓ คือ
สัญญาวิปลาส ความจำที่วิปลาส เพราะเห็นสี่งซึ่งเกิด ดับ ไม่เที่ยงว่าเที่ยง
นี่คือ สัญญาวิปลาส
จิตตวิปลาส ก็โดยนัยเดียวกัน เพราะว่าสัญญาต้องเกิดกับจิต
ทิฏฐิวิปลาส คือผู้ที่เห็นสี่งที่ไม่เที่ยง แล้วมีความเห็นผิดยึดมั่น ว่า เที่ยง
แล้วก็เห็นว่าเป็น สุข แทนที่จะเห็นว่าเป็นทุกข์ เพราะเมื่อไม่ได้ประจักษ์
ความไม่เที่ยง ก็ต้องเห็นว่าเป็นสุข แล้วต้องเห็นว่าเป็นตัวตน เพราะเมื่อไม่ประจักษ์
ในลักษณะที่ไม่ใช่ตัวตน ก็ย่อมเห็นว่าเป็นตัวตน เมื่อเห็นว่าเป็นตัวตน
ก็ย่อมเห็นว่างาม นั่นคือ วิปลาส ๔ โดย
สัญญาวิปลาส ๑
จิตตวิปลาส ๑
ทิฏฐิวิปลาส ๑
พระโสดาบันบุคคล โสตาปฏิมัคคจิต ดับ ทิฏฐิวิปลาส ในอารมณ์ทั้ง ๔ คือ
เห็นสี่งที่ ไม่เที่ยง ตามความเป็นจริง
รู้ว่าสี่งที่ไม่เที่ยงนั้น เป็นทุกข์ ตามความเป็นจริง
และ รู้ว่าสภาพที่เป็นทุกข์ ไม่เที่ยงนั้น เป็นอนัตตา
และ ไม่งาม ตามความเป็นจริง
แต่ยังมี จิตตวิปลาส และ สัญญาวิปลาส
ซึ่งสำหรับพระอนาคามีบุคคล อนาคามิมัคคจิต ดับ สัญญาวิปลาส และ
จิตตวิปลาสที่เห็นว่างาม ในสี่งที่ไม่งาม เพราะว่าสัญญาวิปลาส กับ จิตตวิปลาส
นี้ต้องดับพร้อยกัน
เพราะฉะนั้น อนาคามิมัคค จึงดับ สัญญาวิปลาสและจิตตวิปลาส ที่เห็นว่า
งาม ในสี่งที่ไม่งาม ทำให้ดับความพอใจในกามารมณ์ คือใน รูป....พะได้
เป็นสมุจเฉท แต่สำหรับพระอรหันต์นั้น อรหัตตมัคคจิตดับสัญญาวิปลาส และจิตตวิปลาส ที่เห็นว่า สุข ในธรรมที่ เป็นทุกข์ เพราะว่าถึงแม้ว่าไม่ยินดีพอใจใน
รูป....พะ แต่ยังพอใจในภพ ในขันธ์ หรือในความสงบ ขณะนั้นก็เป็นสัญญา
วิปลาส และจิตตวิปลาส ซึ่งผู้ที่จะดับได้ คือ อรหัตตมัคคจิต
เพราะฉะนั้นก็จะเห็นกำลังของกิเลสมากมายเหลือเกิน ว่า กว่าจะดับได้หมดจริงๆ ก็
จะต้องอบรมเจริญปัญญา รู้ในสี่งที่ไม่เคยรู้มาก่อน ทั้งในขั้นของการฟัง และในขั้น
ของการอบรม โดยสติจะต้องระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏตามปกติ ตาม
ความเป็นจริง จนกว่าปัญญาจะสามารถดับกิเลสได้เป็นลำดับขั้น
มีข้อสงสัยอะไรบ้างไหมคะในเรื่องนี้ อีกนาน หรืออีกเร็ว กว่าจะดับกิเลสได้
ถ้าตามเป็นจริงน่ะค่ะ วันหนึ่งๆ ที่จะรู้ว่านานหรือเร็ว ก็คือสติปัฏฐานเกิดบ่อยๆ
และเมื่อเกิดแล้วรู้ลักษณะของสี่งที่ปรากฏ เพี่มขึ้นหรือเปล่า ถ้าเป็นความรู้โดย
ที่สติปัฏฐานไม่เกิด ขณะนั้นไม่ใช่การที่จะประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมตาม
ความเป็นจริง เพราะฉะนั้นจะต้องรู้ว่าที่ปัญญาจะเจริญขึ้นได้จริงๆ ก็ในขณะที่สติ
ระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเท่านั้น เพราะฉะนั้นในขณะที่มีสภาพ
ธรรม กำลังปรากฏทางตา...ทางกาย ทางใจ แม้ในขณะที่ฟังนี้เอง สติระลึก
ถ้ามีปัจจัยที่สติจะเกิดระลึก สติย่อมระลึกได้ ในลักษณะที่กำลังปรากฏ
จะเป็นทางตาหรือ...ทางกายหรือทางใจก็ได้ แต่ว่าผู้นั้นเองจะต้องเป็นผู้ที่รู้ว่า
ปัญญาเพี่มขึ้นหรือเปล่า ในขณะที่สติกำลังระลึกลักษณะของสภาพธรรม
ที่กำลังปรากฏ เพราะว่าเมื่อปัญญายังน้อย ความรู้จริงก็ต้องรู้ว่า ขณะนั้นรู้น้อย ถ้า
ปัญญาค่อยๆ เพี่มขึ้น เพราะมีการศึกษาสังเกต สำเหนียกในขณะที่สติระลึกผู้นั้นก็
พอจะรู้ได้ว่า กำลังศึกษา กำลังน้อมไป ที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรม ที่ไม่ใช่
ตัวตน สัตว์ บุคคล จนกว่าจะมีความจะมีความรู้เพี่มขึ้นจริงๆ จนถึงขั้นการรู้ชัดใน
ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม ตามลำดับขั้น แต่ก็ไม่ต้องท้อถอย หรือไม่ต้อง
คิดหวังว่า จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมเมื่อไร เพราะว่าสภาพธรรมที่เป็นปรมัตถธรรม
ล้อมรอบอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่สติจะระลึกเมื่อไรเท่านั้นเอง และปัญญาจะเพี่มขึ้น
เมื่อไร
ก็เป็นเรื่องของการที่จะอบรมให้ปัญญา
รู้ลักษณะของสภาพธรรม ตามความเป็นจริง
ไม่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง
หากไม่เริ่มศึกษาอบรม ก็คงสะสมความวิปลาสต่อๆ ไป จนยากที่จะไถ่ถอนได้นะครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
ผู้ที่เป็นปุถุชน มีกันครบทุกคน คือ อกุศล ความวิปลาส
ถ้าหากไม่ได้ฟังพระธรรม อบรมปัญญา ทั้งชีวิตก็คงจะไม่รู้ และกลายเป็นโมฆะไป
แม้พระธรรมไม่เกินวิสัยที่จะค่อยๆ เข้าใจได้ แต่ก็ไม่ง่าย เพราะเราสะสมปัญญามาน้อย
ท่านอาจารย์กล่าวว่า " ...เมื่อปัญญายังน้อย ความรู้จริง ก็ต้องรู้ว่า ขณะนั้นรู้น้อย
ถ้าปัญญาค่อยๆ เพี่มขึ้น เพราะมีการศึกษาสังเกต สำเหนียกในขณะที่สติระลึก
ผู้นั้นก็พอจะรู้ได้ว่า กำลังศึกษา กำลังน้อมไป
ที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรม ที่ไม่ใช่ ตัวตน สัตว์ บุคคล "
ธรรมวันนี้ช่างลึกซึ้ง ...ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณหมอด้วยครับ
กำลังของกิเลสมากมายเหลือเกิน กว่าจะดับได้หมดจริงๆ ถ้าหากไม่ได้ฟังพระธรรม อบรม ปัญญา ทั้งชีวิตก็คงจะไม่รู้ และกลายเป็นโมฆะไป แต่ปัญญาก็น้อยจริงๆ ต้องอบรม สะสมไป แต่ดูเหมือนว่าตนเองจะไม่รู้อะไรเลย ฟังครั้งใดก็ใหม่ทุกครั้งยากจะรู้ได้ ขอขอบพระ-คุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกท่านค่ะ