กราบเรียนถามท่านอาจาร์ยสุจินต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
กระผมเป็นผู้ศึกษาใหม่
ตอนนี้กระผมสงสัยอยู่เรื่องเดียวจริงๆ ติดข้องมากๆ ขอความเมตตาจากท่านอาจาร์ยด้วยครับ
" จิตดวงนี้ หมายถึง จิตของกระผมในปัจจุบันนี้ เป็น จิตเดียวกันกับ ชาติก่อนๆ เมื่อหลายแสนกัลป์มาแล้วใช่หรือไม่ และก็จะเป็นจิตดวงเดียวกันนี้ในชาติต่อๆ ไปเมื่อจุติจิตเกิดใช่หรือไม่ครับ และจิตดวงนี้ เกิดขึ้นมาได้อย่างไร (หมายถึงจุติแรก) ก่อนจะมีโลกหรือจักรวาล จิตของผมนี้ มันเกิดขึ้นครั้งแรกได้อย่างไร"
ถึงแม้ในขณะนี้จะไม่เข้าใจแต่จะฟังต่อไปจนกว่าจะเข้าใจให้เกิดปัญญาเพื่อละคลายความเป็นเราครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
วันนี้ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ชั่วโมงการสนทนาพื้นฐานพระอภิธรรม ได้นำคำถามของคุณ thanik มาถามท่่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์และ คณะวิทยากร ซึ่งพอจะสรุป และแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม ดังนี้ ในสังสารวัฏฏ์อันยาวนาน แต่ละบุคคลก็เกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากความเป็นไปของสภาพธรรม คือ จิต เจตสิก และรูป เพราะผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ ยังมีตัณหา ยังมีอวิชชาซึ่งยังดับไม่ได้ ก็ยังต้องมีการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ร่ำไป ประการที่สำคัญ คือ ไม่ว่าจะเกิดเป็นใคร มีอายุยืนนานอยู่เพียงใด ก็ดำรงอยู่เพียงชั่วขณะจิตเดียวเท่านั้น จิตขณะหนึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไป เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น จิตไม่สามารถเกิดขึ้นพร้อมกันสองดวงหรือสองขณะได้ หรือ ไม่ใช่ว่าจะมีจิตดวงเดียวเกิดขึ้นเป็นสิ่งยั่งยืนตลอดไป เพราะตามความเป็นจริงแล้ว มีจิตเกิดดับสืบต่อกันอยู่ตลอดเวลา อย่างไม่ขาดสาย เป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง เป็นวิบากบ้าง เป็นกิริยาบ้าง ตามความเป็นไปของจิต ซึ่งก็เป็นอย่างนี้มานานแล้วในสังสารวัฏฏ์ ทุกขณะของชีวิตคือการเกิดดับสืบต่อกันของจิต (รวมถึงสภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต คือ เจตสิก ด้วย) ในแต่ละภพในแต่ละชาติ จิตขณะแรก คือ ปฏิสนธิจิต ซึ่งเกิดสืบต่อจากจุติจิตของชาติที่แล้ว เมื่อปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นแล้วดับไป ก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อๆ ไปเกิดขึ้นเป็นไป...จนกว่าจะถึงขณะสุดท้ายของชาตินี้ คือ จุติจิต, จิตแต่ละขณะย่อมเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย (ไม่ใช่เกิดขึ้นมาลอยๆ โดยไม่มีเหตุ) เมืื่อเกิดแล้วก็ดับไป ไม่ยั่งยืนอย่างเช่น ปฏิสนธิจิต ซึ่งเป็นจิตขณะแรกในชาตินี้ ไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ แต่เป็นผลของกุศลกรรม จึงทำให้เกิดมาเป็นมนุษย์ (ที่ไม่พิการบ้าใบ้บอดหนวก) เพราะปฏิสนธิ-จิต เป็นวิบากจิต เป็นผลของกรรม ซึ่งไม่มีใครบังคับหรือทำให้เราเกิดได้ เราไม่สามารถย้อนระลึกถึงอดีตชาติที่ผ่านๆ มาได้ แต่ประโยชน์สูงสุดของการเกิดมาเป็นมนุษย์ คือ การมีโอกาสได้ฟังพระธรรม สะสมความรู้ความเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏในขณะนี้ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อนว่าเป็นธรรม มีชีวิตอยู่เพื่ออบรมเจริญปัญญา ต่อไป สมจริงดังธรรมวาทะที่ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้กล่าวไว้ว่า "ปัญญา จะมีได้ ก็ต่อเมื่อฟัง และมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น" ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณ thanik และทุกๆ ท่านครับ...
ขอเพิ่มเติมเผื่อจะเป็นประโยชน์ค่ะ
จิตเกิดดับสืบต่อกันอย่างไม่ขาดสาย ไม่มีระหว่างคั่น จุติจิตเกิดแล้วดับ ปฏิสนธิก็เกิดต่อ แล้วก็มีจิตอื่นๆ เกิดดับต่อๆ กันไปเรื่อยๆ โดยที่จิตที่เกิดขึ้นมานั้นก็เพียงเกิดขึ้นมาทำหน้าทีเฉพาะของตน แล้วก็ดับไปไม่เหลืออีกเลย... ซึ่งเมื่อตอนที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงระลึกชาติก่อนที่จะตรัสรู้นั้น ก็ระลึกไป กี่ชาติๆ ก็ยังไม่จบสิ้น แต่พระองค์ก็ทรงมีปัญญาเห็นถึงความไม่มีสาระของสังสารวัฏฏ์ และละคลายชาติภพ ความติดข้อง จนบรรลุเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะชาติไหน ก็เป็นเพียงจิต เจตสิก รูป ที่เกิดขึ้นแต่ละขณะๆ แล้วก็ดับ ไม่เหลืออีกเลย... เพราะฉะนั้นก็ไม่สามารถจะรู้สิ่งที่เกิดแล้วดับแล้วได้ จะรู้ได้ก็คือสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้เท่านั้น
กราบขอบพระคุณสำหรับกุศลจิต ของทุกๆ ท่าน ที่ให้ปัญญา ครับ
เป็นบุญของคุณ thanik แล้วที่ทำให้ได้ศึกษาพระพุทธศาสนาขอให้ท่านมีสัทธา มีวิริยะ ที่จะฟังพระธรรมเพื่อความเข้าใจต่อไป
ขออนุโมทนาในกุศลของทุกๆ ท่านครับ
ขอบคุํณสำหรับคำถามของคุณ Thanik เพราะเป็นประโยชน์สำหรับดิฉันไปด้วย เมื่อได้อ่านคำตอบจากอาจารย์คำปัน ทำให้เกิดความเข้าใจมากขึ้นว่าจิตเกิดดับอยู่ตลอดเวลาไม่มีระหว่างคั่น เมื่อไรที่จุติจิตยังไม่ดับ ปฏิสนธิจิตก็จะเกิดไม่ได้ คือถ้ายังไม่ตายจากความเป็นคน ก็ยังจะไม่มีปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น จะไปเกิดเป็นอะไรก็อยู่ที่ผลของกุศลกรรมหรืออกุศลกรรมที่ทำไว้ ฉะนั้นคงไม่ต้องสงสัยว่าจิตของเราจะเป็นดวงเดิมตลอดไปหรือไม่ เพราะจิตมีการเกิดดับอยู่ตลอดเวลานั่นเอง ทางที่จะรับอารมณ์ได้ก็มี 6 ทาง คือทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ท่านอาจารย์สุจินต์ บรรยายว่าจิตจะรู้อารมณ์ที่ละทวาร
ดิฉันก็จะฟังพระธรรมต่อไปจนกว่าจะเกิดความเข้าใจ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านมา ณ โอกาสนี้ด้วยค่ะ