ข่มกิเลสด้วยวิปัสสนา [เอกนิบาต]

 
orawan.c
วันที่  15 มี.ค. 2554
หมายเลข  18048
อ่าน  1,282

[เล่มที่ 32] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 69

แต่สำหรับพระภิกษุบางรูป กระทำวิปัสสนากรรมฐาน โดยนัย ดังกล่าวแล้วนั่นแล กิเลสย่อมไม่ได้โอกาส เป็นอันข่มกิเลสได้ด้วย อำนาจวิปัสสนานั้นแล ภิกษุนั้นกระทำกิเลสให้เป็นอันข่มได้ ด้วย ประการนั้น คลายกำหนัดได้แล้วย่อมยึดพระอรหัตไว้ได้ เหมือนภิกษุผู้เจริญวิปัสสนา ประมาณ ๖๐ รูปในครั้งพุทธกาล ได้ยินว่า ภิกษุเหล่านั้น รับพระกรรมฐานในสำนักพระศาสดาแล้วเข้าไปป่า อันเงียบสงัด กระทำกรรมในวิปัสสนา (แต่) ไม่กระทำความพยายาม เพื่อประโยชน์แก่มรรคผล ด้วยสำคัญว่า เราบรรลุมรรคผลแล้ว เพราะกิเลสไม่ฟุ้งขึ้น คิดว่าเราจักกราบทูล ถึงธรรมที่เราแทงตลอดแล้วแด่พระทสพล จึงมาเถิดพระศาสดา แต่ก่อน ที่ภิกษุเหล่านั้นจะมาถึง พระศาสดาได้ตรัสกะพระอานนทเถระว่า อานนท์ ภิกษุผู้บำเพ็ญเพียรจะมาพบเราในวันนี้ เธออย่าให้โอกาสแก่ภิกษุ เหล่านั้นเพื่อจะพบเรา พึงส่งไปว่า พวกท่านจงไปป่าช้าทิ้งศพดิบ ทำภาวนาอสุภสด พระเถระบอกข่าวที่พระศาสดา


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
orawan.c
วันที่ 15 มี.ค. 2554

สั่งไว้แก่ภิกษุที่มาแล้วเหล่านั้น ภิกษุเหล่านั้นคิดว่า พระตถาคต ไม่ทรงทราบแล้วคงไม่ตรัส ชะรอยจักมีเหตุในข้อนี้เป็นแน่ ดังนี้แล้ว จึงไปยังป่าช้าศพดิบ ตรวจดูอสุภสดก็เกิดความกำหนัดขึ้น เกิดความสังเวชขึ้นว่า ข้อนี้ พระสัมมาสัมพุทธคงจักทรงเห็นแล้วเป็นแน่ จึงเริ่มกรรมฐานเท่าที่ตนได้ตั้งแต่ต้น พระศาสดาทรงทราบว่า ภิกษุ เหล่านั้นเริ่มวิปัสสนา ประทับนั่งที่พระคันธกุฎีนั่นแล ได้ตรัสโอภาส คาถาว่า

จะยินดีไปใย เพราะได้เห็นกระดูกที่มีสีดังนก พิลาปที่ใครๆ ไม่ปรารถนา เหมือนน้ำเต้าใน สารทกาล ฉะนั้น ในเวลาจบคาถา ภิกษุเหล่านั้น ก็ดำรงอยู่ในพระอรหัตตผล ภิกษุเห็นปานนี้ ข่มกิเลสได้แล้ว ด้วยอำนาจแห่งวิปัสสนา เป็นอันชื่อว่า ข่มได้แล้วโดยประการนั้นนั่นแล

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chatchai.k
วันที่ 13 พ.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
yu_da2554hotmail
วันที่ 6 ต.ค. 2565

ขอนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ