ที่จะรู้ตัว ว่ามีมานะ มากน้อยแค่ไหน ขณะไหน (๒)
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อความบางตอนจากการบรรยายธรรมโดยท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ท่านอาจารย์.....ถ้าผู้นั้นไม่มีการสำคัญตน การลบหลู่คุณบุคคลอื่นย่อมไม่มี
แต่ในขณะใดที่มีความสำคัญตน และไม่มีความพอใจในบุคคลนั้น สามารถที่จะแสดง
กิริยาอาการ ที่ลบหลู่ได้
บทว่า มักขัง ได้แก่ลบหลู่คุณท่าน เป็นกรรมอันประกอบด้วยความกระด้าง คนลบ
หลู่นั้น เหมือนจับคูถคืออุจจาระ แล้วประหารผู้อื่น กายของตนย่อมเปื้อนก่อนทีเดียว
คนลบหลู่นั้น ย่อมลบหลู่ คือล้างคุณของผู้อื่นให้พินาสไป ดุจผ้าเช็ดน้ำ เช็ดน้ำที่
ติดตัวของผู้อาบน้ำ ฉะนั้น
ทั้งๆ ที่ผู้อื่นมีคุณ แต่การที่จะให้คุณของผู้อื่นหมดไป ก็โดยการลบหลู่ ซึ่ง
เหมือนกับเอาผ้าเช็ดน้ำที่ติดตัวของผู้อาบน้ำ ฉะนั้น
หรือข้อความในสัมโมหวิโนทนี ขุขททกวัตถุวิภังคนิทเทส มีข้อความว่า
"มักขะ" เป็นราวกะว่า เหยียบย่ำความดีของผู้อื่น ไว้ด้วยเท้า
นี่คือลักษณะของความลบหลู่
จริงอยู่ท่านกล่าว่า มักโข คือผู้ลบหลู่คุณท่าน เพราะทำลาย กำจัดสักการะอันใหญ่
ซึ่งเป็นที่ปรากฏแก่ชนเหล่าอื่น พึงเห็นว่าคนลบหลู่นั้น
มีการลบล้างคุณของผู้อื่น เป็นลักษณะ
มีการทำให้ผู้อื่นพินาส เป็น รสะ คือเป็นกิจ
มีการตัดทำลายคุณที่ผู้อื่นกระทำแล้ว เป็น อาการปรากฏ
บทว่า มัจฉิปาเส ได้แก่เป็นผู้ลบล้างคุณของผู้อื่น คือป้ายร้ายความดีของ
ผู้อื่น อธิบายว่า เป็นผู้ขจัดคุณ แม้ของตน จากการที่ลบล้างคุณของผู้อื่นนั้นด้วย
การลบล้างคุณของผู้อื่นเกิดขึ้นขณะใด ควรจะนึกถึงสภาพของจิตของผู้ที่กำลัง
ลบล้างคุณของผู้อื่นในขณะนั้นว่าเป็น
อกุศลกรรม ของตนเอง ซึ่งจะต้องให้ผล
ทั้งๆ ที่ในขณะนั้น คิดจะลบล้างคุณ ของผู้อื่นนั้นด้วย
การลบล้างคุณของผู้อื่นเกิดขึ้นขณะใด ควรจะนึกถึงสภาพของจิต ของผู้ที่
กำลังลบล้างคุณของผู้อื่น ในขณะนั้นว่าเป็นอกุศลกรรมของตนเอง ซึ่งจะต้องให้
ผล ทั้งๆ ที่ในขณะนั้นคิดจะลบล้างคุณของผู้อื่น แต่จิตที่กำลังคิดอย่างนั้นเป็นอกุศล
และเมื่อได้กระทำกรรมนั้นแล้ว
ก็เป็นอกุศลกรรมซึ่งตนเองจะต้องเป็น ทายาท
คือเป็นผู้ที่จะต้องรับผลของกรรมนั้น
นี่ก็เพราะมานะเป็นเหตุนะคะ
แม้ในขณะนั้น จิตประกอบด้วยโทสะ
ผู้ฟัง ถ้ามีผู้มาว่าเรา หมายความว่าในขณะนั้น เราเคยได้สร้างกรรมเอาไว้ เขา
ก็มาด่าเรา ถ้าเราโต้ตอบไป ก็เท่ากับเราสร้างกรรมต่อไปใช่ไหมคะ
ท่านอาจารย์ ถูกต้องค่ะ
ผู้ฟัง ทีนี้อยู่ที่ว่าเราจะอดทน สามารถอดทนเข้าใจความจริงได้แค่ไหน จึงจะไม่
มีปฏิกริยาโต้ตอบได้
ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นผู้มีปกติเจริญสติปัฏฐาน ก็จะรู้ลักษณะของสภาพจิตในขณะ
นั้นได้ เพราะว่าบางครั้งจะต้องโกรธ เป็นของธรรมดา แต่ความโกรธนั้น จะถึงขั้น
ได้ตอบหรือไม่โต้ตอบ หรือว่าจะเกิดมีจิต ที่คิดเมตตาในบุคคลนั้นแทนก็ได้
เพราะว่าเห็นว่า ผู้โกรธย่อมเป็นผู้ที่จะได้ผลของ ความโกรธนั้นเอง
ผู้ฟัง บางครั้งมีคนเขามาว่า แต่เราเมตตาไป เขาจะหายโกรธ เป็นความจริง
ไหม บางทีเขามาผูกพยาบาทเรา แต่เราเมตตาสงสารที่เขามีทุกข์ ที่เข้าใจในตัวเรา
ผิดไป คือเราต้องการให้เขาทำอะไรให้ถูกต้อง
ท่านอาจารย์ ก็เป็นเรื่องยากที่จะให้ผู้อื่นเข้าใจเจตนาของเรา เพราะว่าบางครั้ง
แม้ว่าเราจะมีกุศลเจตนา แต่คนอื่นก็ยังเข้าใจผิดได้ เพราะฉะนั้นจะทำอย่างไร ถ้า
คนอื่นเข้าใจเราผิด บางท่านก็พากเพียรใช้วิธีต่างๆ ที่จะทำให้คนอื่นเข้าใจถูก แต่
ถ้าเหลือวิสัยที่จะเข้าใจได้ ก็ต้องปล่อยไป เพราะว่าไม่สามารถจะทำได้ดีกว่านั้นอีก
ข้อสำคัญที่สุดคือ รักษาใจของเรา ให้เป็นกุศล
นอกจากนั้น มานะยังเป็นเหตุให้มีอกุศลกรรมทางวาจาคือ "ปลาสะ" การตีเสมอ
การตีเสมอ
(ยังมีต่อ)
มานะนี้ท่านกล่าวว่าพึงเห็นเหมือนคนบ้า เวลาที่สะสมความบ้าจนมีกำลังแล้ว อาการที่แสดงออกก็เย่อหยิ่ง แล้วก็เป็นปัจจัยให้กระทำอกุศลกรรมร้ายแรงมากมายได้อีกด้วยทั้งลบหลู่คุณท่าน ทั้งป้ายร้ายความดีของผู้อื่น เดี๋ยวต่อไปก็จะมีการตีตนเสมอท่านอีกน่ากลัวมานะนี้จริงๆ ครับ ถ้าไม่เข้าใจหนทางการเจริญสติปัฏฐาน ก็ไม่รู้ว่าจะขัดเกลามานะ รวมทั้งอกุศลอื่นๆ ออกไปจากใจได้อย่างไร เข้าใจขั้นฟัง ก็ยังเห็นว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะขัดเกลา ไม่ต้องกล่าวถึงขั้นปฏิบัติกันเลย เพราะปัญญาจะต้องเจริญขึ้นเพื่อขัดเกลาอกุศลที่ไม่เคยเห็นตัวจริงจากขั้นฟังมาก่อน....อย่างมากมายมหาศาลแค่ไหนเป็นจิรกาลภาวนาจริงๆ แต่เริ่มได้ ตั้งต้นบนทางที่ถูกด้วยการฟังพระธรรมให้เข้าใจ
" ข้อสำคัญที่สุดคือ รักษาใจของเรา ให้เป็นกุศล "
ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณหมอครับ
ชอบเหมือนกันเลยครับ
"ข้อสำคัญที่สุดคือ รักษาใจของเรา ให้เป็นกุศล"
ขอบพระคุณและอนุโมทนาคุณ chaiyut และทุกท่านครับ
เชิญอ่าน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้าที่ 87๕. มักขสูตร
ว่าด้วยละมักขะได้เป็นพระอนาคามี
[๑๘๓] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว พระสูตรนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับ
มาแล้วว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายละธรรมอย่างหนึ่งได้ เราเป็นผู้
รับรองเธอทั้งหลายเพื่อความเป็นพระอนาคามี ธรรมอย่างหนึ่งเป็นไฉน
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย ละ ธรรมอย่างหนึ่ง คือ มักขะได้ เราเป็นผู้
รับรองเธอทั้งหลายเพื่อความเป็นพระอนาคามี.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า
ชนผู้เห็นแจ้งทั้งหลาย รู้ชัดด้วยดีซึ่ง
มักขะอันเป็นเหตุให้สัตว์ผู้ลบหลู่ไปสู่ทุคติ
แล้วละได้ ครั้นละได้แล้ว ย่อมไม่มาสู่
โลกนี้อีกในกาลไหนๆ .
เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้า
ได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล.
จบมักขสูตรที่ ๕
"เป็นเรื่องยากที่จะให้ผู้อื่นเข้าใจเจตนาของเรา
เพราะว่าบางครั้งแม้ว่าเราจะมีกุศลเจตนา แต่คนอื่นก็ยังเข้าใจผิดได้.....
บางท่านก็พากเพียรใช้วิธีต่างๆ ที่จะทำให้คนอื่นเข้าใจถูก
แต่ถ้าเหลือวิสัยที่จะเข้าใจได้ ก็ต้องปล่อยไป..
ข้อสำคัญที่สุดคือ รักษาใจของเรา ให้เป็นกุศล"
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ