สามีเป็นคนมีทิฏฐิแรงมาก

 
domo
วันที่  17 มี.ค. 2554
หมายเลข  18067
อ่าน  1,835

สามีเป็นคนทิฏฐิแรงมาก ควรใช้ธรรมข้อไหนดีจึงจะอยู่ร่วมกันได้กับคนแบบนี้แล้วไม่เป็นทุกข์คะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 17 มี.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

คำว่าทิฏฐิในทางพระพุทธศาสนาคือความเห็น ซึ่งหากเป็นไปในฝ่ายกุศล ฝ่ายดีก็

คือความเห็นถูก สัมมาทิฏฐิ แต่ถ้าเป็นไปในฝ่ายอกุศล ฝ่ายไม่ดี ก็คือความเห็นผิด

เห็นผิดจากความเป็นจริง เช่นเห็นว่าเที่ยง เห็นว่าบุญไม่มี บาปไม่มี เพราะฉะนั้นคำว่า

ทิฏฐิที่ใช้กันในทางโลกกับพระพุทธศาสนาจึงต่างกัน เพราะในทางโลกทิฏฐิ ในคำไทย

ส่วนใหญ่ใช้ในความหมายว่าความอวดดื้อ ถือดี ความดื้อรั้น ความตะแบงทั้งที่รู้ว่าผิดแต่

ไม่ยอมรับและไม่ยอมแก้ไข เป็นต้น หรืออาจใช้คำว่าทิฏฐิในภาษาไทยที่พูดกันก็ได้

การอยู่ร่วมกันในสังคม อยู่ร่วมกับบุคคลที่ต่างมีกิเลสและตัวเราเองก็มีกิเลส กุศล-

ธรรม ความดีประการต่างๆ เช่น เมตตา ขันติและปัญญาความเข้าใจเท่านั้นที่จะสามารถ

เข้าใจในสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับสิ่งที่มากระทบกับเรา แต่กุศลธรรมที่กล่าวมานั้นไม่ได้เกิด

ขึ้นมาลอยๆ เพียงแค่บอกให้ทำ ให้เอามาใช้ก็ทำได้ แต่ทุกอย่างเกิดตามเหตุปัจจัยแม้แต่

กุศลธรรม ความดีที่เป็นเมตตา ขันติ ปัญญา เป็นต้น หากไม่ได้สะสมมาที่จะมีคุณธรรม

เหล่านี้ จะเอาธรรม จะเอาขันติและเมตตาไปใช้ได้อย่างไร เพราะธรรมทั้งหลายต้องมี

เหตุปััจจัยจึงเกิดขึ้น ความดี กุศลธรรมต่างๆ จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยการฟังพระธรรมของ

พระพุทธเจ้า ฟังจนเกิดความเข้าใจ เมื่อปัญญาเจริญขึ้นอันเกิดจากการฟังพระธรรม

กุศลประการต่างๆ มีความอดทน เมตตา เป็นต้น ก็เพิ่มมากขึ้นตามความเข้าใจพระธรรม

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 17 มี.ค. 2554

ความทุกข์ย่อมเป็นของธรรมดา ทั้งทุกข์กายและใจตราบใดที่ยังเป็นมีกิเลสมาก ยัง

เป็นปุถุชน พระธรรมของพระพุทธเจ้าจึงไม่ใช่ให้ดับทุกข์ด้วยความไม่รู้ แต่พระองค์ทรง

ให้เข้าใจความจริงที่เกิดขึ้นและทุกข์ที่เกิดขึ้นกับตัวเราเอง ไม่มีทางเลยที่จะไม่ทุกข์

เพราะมีกิเลสมาก แต่หนทางคือเข้าใจทุกข์ที่เกิดขึ้น เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลัง

เกิดอยู่ว่าความจริงเป็นอย่างไร พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ทรงแสดงความจริง

ด้วยการรู้จักทุกข์ เมื่อรู้จักทุกข์จึงดับทุกข์ ทุกข์คือความจริงในขณะนี้ เข้าใจว่าเป็นธรรม

ไม่ใช่เรา จะเห็นได้ว่าหนทางการอบรมปัญญา สวนทางกับความต้องการของเรา เรา

ต้องการไม่ให้ทุกข์ (แต่เป็นไปไม่ได้เพราะไม่มีปัญญา) แต่พระพุทธองค์ทรงแสดงว่า

ให้รู้จักทุกข์ที่่เกิดขึ้นแล้วว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา เมื่อเราเข้าใจความจริง เข้าใจทุกข์

ปัญญาเกิดก็จะค่อยละคลายกิเลสประการต่างๆ ได้ ทุกข์ก็น้อยลงเองตามกำลังของ

ปัญญาครับ นี่คือหนทางที่ถูกต้องในพระพุทธศาสนา ขออนุโมทนา อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 17 มี.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

แต่ละบุคคลมีการสะสมมาที่แตกต่างกัน ความคิด การกระทำและคำพูด จึงแตกต่างกันออกไปตามการสะสม มีทั้งส่วนที่ดีและไม่ดี ด้วยกันทั้งนั้น รวมทั้งความเห็น ด้วย ซึ่งก็มีทั้งเห็นถูก กับ เห็นผิด ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ซึ่งเมื่อว่าโดยสภาพธรรมแล้ว ก็ไม่มีตัวตนสัตว์บุคคลเลย มีแต่ความเป็นไปของสภาพธรรม กล่าวคือ นามธรรม กับ รูปธรรม เท่านั้น ที่สำคัญเราไม่ได้อยู่ในโลกนี้เพียงคนเดียว อยู่รวมกันหลายคน ทั้งเขาทั้งเราก็มีส่วนที่ไม่ดี ด้วยกันทั้งนั้น ตราบใดที่ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ถึงการดับกิเลสได้ทั้งหมด จึงควรอย่างยิ่งที่จะเห็นใจคนที่มีกิเลสด้วยกัน ยิ่งถ้ามีการไตร่ตรองพิจารณา เข้าใจในเหตุในผลของธรรมจริงๆ ก็จะมีความเข้าใจ มีความเห็นใจ แล้วมีเมตตาในบุคคลนั้นๆ ได้ แทนที่จะโกรธ แทนที่จะไม่พอใจ และควรที่จะพิจารณาว่า การที่บุคคลนั้นจะมีความเห็นและพฤติกรรมที่ไม่ดีอย่างนั้นได้ ต้องมีเหตุมีปัจจัยที่ทำให้เขาเป็นอย่างนั้น เมื่อเขาเป็นอย่างนั้นแล้ว เราก็ควรที่จะเข้าใจ เห็นใจ แล้วก็ช่วยแก้ไขเท่าที่สามารถจะช่วยได้ ตามกำลังปัญญาของตนเอง ย่อมจะเป็นประโยชน์กว่าความโกรธ ความไม่พอใจ เพราะความโกรธ ไม่ว่าจะน้อยหรือมาก ก็ไม่นำมาซึ่งประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น กิเลสกุศลธรรมประการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความเห็นผิด ความสำคัญตน ความติดข้อง ความไม่พอใจ เป็นต้น ต้องอาศัยปัญญาความเข้าใจถูก เห็นถูก ที่เกิดจากการฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เท่านั้น จึงจะค่อยๆ ละคลายไปตามลำดับได้ ถ้าไม่มีปัญญาแล้ว การดับกิเลสเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น ความเข้าใจพระธรรมจึงเป็นประโยชน์เกื้อกูลสำหรับชีวิตอย่างแท้จริง เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรมประการต่างๆ ซึ่งจะเป็นการขัดเกลากิเลสในชีวิตประจำวัน ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 17 มี.ค. 2554

อดทน เมตตา ศึกษาธรรมให้เข้าใจ

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาท่านอาจารย์คำปั่นและอาจารย์เผดิมครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
chvj
วันที่ 17 มี.ค. 2554
ขออนุโมทนา อ.Paderm และ อ.Khampan ที่ให้ข้อคิดที่น่าพิจารณาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
choonj
วันที่ 18 มี.ค. 2554

เมื่ออยู่ด้วยกันก็ต้องมีการกระทบกันเป็นธรรมดา เมื่อไม่ได้ที่ต้องการทุกข์ย่อมเกิด การเข้าใจธรรมก็ยังไม่พอ แต่ชีวิตยังต้องมีอยู่ที่จะเห็นได้ยินทิฏฐิที่ไม่ต้องการในวันๆ ทุกข์ย่อมเกิด ถามว่าแล้วยังไงล่ะจะให้ไม่เป็นทุกข์ คำตอบที่พอจะเป็นความเห็นให้ได้นั้น ก็คือสติพอที่จะมีกำลังเกิดได้มั้ยในขณะนั้น ถ้าสติสามารถเกิดระลึกได้ในขณะเห็นได้ยินทิฏฐินั้น ก็จะรู้ว่าโทสะของเราเกิดแล้ว เป็นธรรม เกิดแล้วก็ดับ หาสาระไม่ได้ ไม่ควรยึดจนทำให้เป็นทุกข์ ถ้าสติไม่เกิดก็โทสะเกิดแทน เมื่อโทสะดับแล้วก็จะรู้ว่า ที่โกรธนะไม่ดีเลย การรู้ว่าไม่ดีนี้นะเป็นสติ ถ้าเกิดบ่อยๆ เนืองๆ หลายๆ ครั้งก็จะมีกำลังทำให้ระลึกเกิดเท่าทันโทสะได้

การฟังธรรมให้เข้าใจจะเป็นปัจจัยให้สติเกิด จึงไม่ควรละเลยการฟังธรรม ต้องฟังบ่อยๆ เนืองๆ ....ฯ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
domo
วันที่ 18 มี.ค. 2554

กราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ จะนำไปประพฤติปฏิบัติตามค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Thirachat.P
วันที่ 19 มี.ค. 2554

ศรัทธา ศีล สุตตะ จาคะ ปัญญา ครับ หากศรัทธาไม่มี อย่างอื่นก็ยากที่จะมีครับ อดทน เมตตา สงสาร ให้กับสามีก็พอแล้ว เรามีศรัทธา ฟังธรรม ทำดี สามีเห็นความดีฃองเรา อาจมีศรัทธาและฟังธรรมก็ได้ครับ สามีถ้ามามืดก็ฃอให้ไปสว่างนะครับ ความเห็นฃองผมหากผิดพลาดประการใดก็ฃออภัยด้วยครับ ฃอบพระคุณและฃออนุโมทนาทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ไตรสรณคมน์
วันที่ 19 มี.ค. 2554

เราเปลี่ยนแปลงใครไม่ได้ค่ะ

แต่เราสามารถ "เข้าใจเขา" ได้อย่างถูกต้องขึ้น

ทั้งเราและเขา ก็จะอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ