สามีเป็นมิจฉาทิฏฐิ

 
domo
วันที่  18 มี.ค. 2554
หมายเลข  18072
อ่าน  1,846

สามีเป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่เคยได้ฟังพระธรรมอันถูกต้อง ถึงจะเห็นเราฟังแต่ก็ไม่เคยสนใจ

ศีล 5 ก็ไม่เข้าใจ มีความเห็นที่ผิดเพียงเพราะว่าสังคมส่วนใหญ่เขาทำกัน เช่นการไปเที่ยวผู้หญิง ทั้งที่ตัวเองก็มีภรรยาแล้ว และภรรยาก็ไม่ได้อนุญาต ถ้าสังคมส่วนใหญ่ทำชั่วเราต้องทำตามสังคมนั้นหรือคะ หนูไม่ทราบว่าจะอธิบายให้เค้าเข้าใจอย่างไรดี ถึงความผิดชอบชั่วดี อะไรควรอะไรไม่ควร พระธรรมไม่เคยอยู่ในใจเค้าเลยค่ะ หนูคงได้แค่อธิษฐานจิต อุทิศส่วนกุศลให้เค้าขอให้เค้าได้มีดวงตาเห็นธรรมในที่สุด


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 18 มี.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นอย่างกว้่างๆ ดังนี้ ครับ พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา นั้น ประกอบด้วยเหตุและผล เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูก เป็นไปเพื่อการละคลายกุศล บุคคลผู้ที่ไม่มีปัญญา ย่อมไม่เห็นประโยชน์ของพระธรรมที่มีคุณค่ามากนี้ พร้อมทั้งไม่เห็นประโยชน์ของกุศลธรรมทุกประการอีกด้วย สิ่งที่ถูกก็เห็นว่าผิด สิ่งที่ผิดก็เห็นว่าถูก ถึงแม้ว่าจะมีผู้แนะนำในสิ่งที่ดีมีประโยชน์แก่เขาอย่างไรก็ตาม เขาย่อมไม่เห็นคุณค่าไม่เห็นประโยชน์ เพราะฉะนั้น พระธรรม จึงเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ได้สะสมบุญมาแล้วตั้งแต่ชาติปางก่อนเท่านั้น ส่วนบุคคลผู้ที่ไม่ได้สะสมบุญมา ย่อมไม่ได้รับประโยชน์จากพระธรรม พระธรรมย่อมเป็นสิ่งที่ไม่มีค่าสำหรับเขา ซึ่งจะตรงกับคำที่ว่า “ธรรม ไม่ได้สาธารณะกับทุกคน” ประการที่สำคัญที่ควรจะตระหนักอยู่เสมอ คือ เราไม่สามารถทำให้คนทุกคนหันมาเป็นผู้สนใจศึกษาพระธรรม หรือไม่สามารถทำให้ทุกคนดำเนินชีวิตเป็นไปอย่างที่เราคิดได้ (เพราะเป็นไปตามการสะสมของแต่ละบุคคลจริงๆ ) เปรียบเหมือนกับการที่เราไม่สามารถทำให้แผ่นดินทั้งหมดราบเรียบเหมือนกันหมดได้ เพราะบางแห่งเป็นหลุม เป็นบ่อ เป็นเนินไม่เสมอกัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่แนะนำ แท้ที่จริงแล้ว มีโอกาสก็ควรจะแนะนำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ถ้าเราไม่พูด ไม่แนะนำ เขาจะได้ฟังได้อย่างไรถ้าเขารับฟังและน้อมที่จะประพฤติในทางที่ถูกต้องดีงาม นั่นเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าเขาไม่รับฟังไม่เห็นประโยชน์ ก็ควรเป็นผู้มีความเข้าใจถึงการสะสมมาที่แตกต่างกันของแต่ละบุคคล สิ่งสำคัญที่สุด ที่ควรกระทำสำหรับตนเอง คือ ศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ พระธรรมที่ได้ฟัง ที่ได้ศึกษาทั้งหมด เป็นไปเพื่อการเจริญขึ้นของปัญญาและเป็นไปเพื่อขัดเกลากิเลสของตนเองทั้งสิ้น สิ่งที่จะเป็นที่พึ่งที่แท้จริง คือ ความเข้าใจพระธรรม (ปัญญา) เท่านั้นไม่ใช่สามี ไม่ใช่บุคคลรอบข้าง ไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทอง เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถติดตามไปถึงภพหน้าได้ ซึ่งในที่สุดเราก็จะต้องจากสิ่งเหล่านี้ไป แต่ปัญญาและความดีทั้งหลายที่สะสมไว้ ไม่สูญหายไปไหน ซึ่งเมื่อมีปัญญา แล้ว ก็สามารถจะอธิบายเกื้อกูลให้ผู้อื่นได้เข้าใจด้วย ตามกำลังปัญญาของตนเอง ครับ. ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
domo
วันที่ 19 มี.ค. 2554

กราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ พระรัตนตรัยและบุญกุศลเท่านั้นเป็นที่พึ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ไตรสรณคมน์
วันที่ 19 มี.ค. 2554

เป็นวิบากกรรมนะคะ

ดังนั้น...

จะอยู่อย่างผู้มีความ "รู้"

หรือ

จะอยู่อย่างผู้มีความ "ทุกข์"

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ไตรสรณคมน์
วันที่ 19 มี.ค. 2554

ข้อความจากการสนทนาธรรมที่บ้านคุณโป๊ด ลองอ่านดูนะคะ.......

คุณโป๊ด อยากจะกราบเรียนถามท่านอาจารย์ เกี่ยวกับเรื่องว่า

ทุกวันนี้ เราอยากที่จะให้คนทุกคนได้ดี

เราพยายามที่จะไปมองในส่วนที่เขาทำแล้วไม่ถูกใจเรา

หรือที่เรียกว่า เราเพ่งอกุศลคนอื่น

แล้วทำให้เราเป็นอกุศลของตัวเราเอง

เราจะห้ามอันนั้นได้อย่างไรครับ?

ท่านอาจารย์ เรียนสำหรับห้ามหรือเปล่าคะ?

บังคับบัญชาไม่ได้ ก็ลืมเสียอีกแล้ว

จะไปห้ามเขา เหมือนกับจะไปบังคับให้เขา เป็นอย่างที่เราต้องการ

หรือพยายามที่จะให้เป็นอย่างนั้นนะคะ

แต่ให้ทราบจริงๆ ค่ะว่า "ธรรมะเป็นอนัตตา"

ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ของใครเลยทั้งสิ้น

ข้อสำคัญที่สุดนะคะ คุณโป๊ดนึกถึง "คนอื่น" ใช่ไม๊คะ?

แต่ลืมว่า ทุกคนเนี่ย คือ จิตหนึ่งขณะ เท่านั้นเอง...ที่เกิดขึ้น.....

.

.

......เพราะฉะนั้น ถ้ารู้ความจริงนะคะ แล้วก็ เราอยากให้คนอื่นเป็นอย่างนั้น

นั่นเป็นเราคิดใช่ไม๊คะ?

เป็นจิตขณะที่คิด

แล้วจะสำเร็จไหม?

ถ้าไม่สำเร็จ.....คิดทำไม?

น่าเสียดายเวลาที่คิด นะคะ

เพราะเหตุว่า คิดแล้วก็ไม่ได้ทำให้เป็นอย่างที่คิดได้

เพราะฉะนั้น ควรที่จะ สะสมความเห็นถูก

สำหรับโลกนี้ ใบนี้ ไม่มีใครเลยค่ะ

มีแต่เพียง จิตหนึ่งขณะ ที่เกิด-ดับ สืบต่อ.....แล้วก็เป็นโลก ที่เต็มไปด้วยความคิด

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
chaiyut
วันที่ 19 มี.ค. 2554

ในครั้งพุทธกาล ก็มีภรรยาที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับสามีที่เป็นมิจฉาทิฏฐิครับ บางรายถูกด่าว่าหญิงถ่อย เพียงเพราะไปเลื่อมใสสัทธาในพระพุทธเจ้า ไม่นับถือลัทธิเดียวกันกับสามีของตน บางรายถูกสามีทำร้ายร่างกายจนตาย เพราะไม่ทำตามข้อตกลงของชาว-บ้านที่นัดแนะกันที่จะไม่ถวายน้ำดื่มแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าและพระภิกษุ ชีวิตของคนแต่ละยุคสมัย ก็จะเห็นได้ว่า แม้ว่าจะเป็นคนดี ทำตัวดีเพียงใดก็ตาม ตราบใดที่ยังอยู่ในสังสารวัฏฏ์ ล้วนแต่ย่อมต้องเป็นไปตามกรรมที่ตนได้กระทำไว้ ถึงเวลาก็ต้องรับผลของกรรมดีบ้าง-ชั่วบ้างตามควรแก่กรรมนั้นๆ แต่ถ้าฟังธรรม เข้าใจธรรม ค่อยๆ สะสมปัญญาไปเรื่อยๆ ต่อไปแม้แต่ในขณะนี้ ไม่ว่าอะไรจะเกิด ปัญญาก็เข้าใจถูก และน้อมใจไปในทางถูก คือทางกุศลได้ ที่ใดมีปัญญา ที่นั่นไม่เดือดร้อน แต่ที่ใดที่เดือดร้อนโลภะ โทสะ โมหะ อกุศลทั้งหลายอยู่ที่นั่นครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
bsomsuda
วันที่ 19 มี.ค. 2554

"สำหรับโลกนี้ ใบนี้ ไม่มีใครเลยค่ะ

มีแต่เพียง จิตหนึ่งขณะ ที่เกิด-ดับ สืบต่อ

.....แล้วก็เป็นโลก ที่เต็มไปด้วยความคิด"

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 19 มี.ค. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Nareopak
วันที่ 20 มี.ค. 2554

เรียนถามอาจารย์Khampan.a การที่เห็น ได้ยิน รวมถึงเหตุการณ์ต่างๆ ตั้งแต่ตื่นนอนจนถึงแม้กระทั่งหลับ (ฝันดี-ฝันร้าย) ล้วนแล้วแต่เหตุปัจจัยซึ่งเกี่ยวกับเรื่องของกรรมด้วยใช่ไหมค่ะ ทำไมเวลาที่คิดว่าเป็นผลของกรรม (ส่วนใหญ่จะระลึกได้เมื่อได้รับอกุศลวิบาก) ใจจะรู้สึกสบายขึ้น กว่าที่จะระลึกได้ว่าเป็น"ธรรมะ" ขออนุโมทนาในการเกื้อกูลคำตอบค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
khampan.a
วันที่ 20 มี.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น เรียน ความคิดเห็นที่ ๘ ครับ

ตามความเป็นจริงแล้ว ชีวิตที่ดำเนินไปในแต่ละวัน ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับไปนั้น ไม่ได้มีเพียงวิบากจิตซึ่งเป็นผลของกรรมเท่านั้น แต่มีจิตชาิติกุศล ชาติกุศลเกิดขึ้นตามการสะสม และ มีจิตชาติกิริยาด้วย ๒ ดวง คือ ปัญจทวาราวัชชนจิต และ มโนทวาราวัชชนจิต การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย ในชีวิตประจำวัน เป็นผลของกรรม ซึ่งต้องมีกรรมในอดีตเป็นปัจจัย ขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นผลของกุศลกรรมหรือกุศลกรรม แม้ขณะที่นอนหลับสนิทก็เป็นผลของกรรม เช่นเดียวกัน (แต่ขณะที่ฝัน ไม่ใช่ผลของกรรม แต่เป็นกุศลหรือกุศล) ขณะที่เราได้รับผลของกรรม เราไม่ทราบว่ามาจากเหตุคือกรรมใด เพียงแต่รู้ว่าเมื่อได้รับสิ่งที่ดีน่าปรารถนาน่าใคร่น่าพอใจ เป็นผลของกุศลกรรม ในทางตรงกันข้ามเมื่อได้รับสิ่งที่ไม่ดี ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าพอใจ เป็นผลของกุศลกรรม แต่ไม่สามารถทราบได้ว่าเป็นกรรมชนิดไหน ประโยชน์ของการฟังการศึกษาพระธรรม ฟังในสิ่งที่มีจริงในชีิวิตประจำวัน คือเข้าใจสภาพธรรมที่กำัลังปรากฏตามความเป็นจริง แม้แต่ในขณะที่รับผลของกรรม ก็เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปเท่านั้น ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์บุคคล-ตัวตน ครับ. ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณ Nareopak และทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
Nareopak
วันที่ 21 มี.ค. 2554

ขอบพระคุณค่ะ คำตอบของอาจารย์Khampan.a ทำให้เข้าใจยิ่งขึ้น แต่ ขอเรียนถาม"ขณะที่ฝัน ไม่ใช่ผลของกรรม แต่เป็นอกุศลหรือกุศล" แสดงว่าเป็นจิตที่คิด ใช่หรือไม่ค่ะและขึ้นอยู่กับการสะสมของแต่ละคน หรือจะเกี่ยวข้องกับอนุสัยกิเลสด้วยหรือไม่ค่ะ เพราะเวลาฝันจะเป็นโทสะ เสียส่วนมาก ปกติเวลาไม่ฝันก็เกิดโทสะได้ง่าย แต่ก็ดับง่ายเช่นกัน)

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
khampan.a
วันที่ 21 มี.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น เรียน ความคิดเห็นที่ ๑๐ ครับ เป็นความเห็นที่ถูกต้อง ว่าขณะที่ฝัน ไม่ใช่ผลของกรรม แต่เป็นกุศลจิตหรือกุศลจิตที่ฝัน ซึ่งเป็นจิตที่คิด แล้วแต่ว่าจะคิดเป็นกุศลหรือกุศล ขึ้นอยู่กับการสะสมมาของแต่ละบุคคล และ แน่นอน คือ ยังมีพืชเชื้อของกิเลส ซึ่งเป็นอนุสัยกิเลสจึงเป็นเหตุใ้ห้กิเลสขั้นที่กลุ้มรุมจิตใจเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณ Nareopak และทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 24 มี.ค. 2554
ขอขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
oom
วันที่ 31 มี.ค. 2554

พูดถึงเรื่อง ความฝัน ตัวดิฉันก็ฝันเหมือนกัน ส่วนใหญ่จะฝันว่าได้ไปทำบุญ ให้ทาน

ฟังธรรม บางครั้งก็ฝันว่าเดินบนน้ำได้ หรือเวลาที่ฝันร้าย เช่นวิ่งหนีสัตว์ร้าย หรือมีคนจะ

มาทำร้าย ก็จะหายตัวได้ เหาะได้ จะฝันมาตั้งแต่เด็กๆ แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร พอมา

ศึกษาพระธรรมจึงเข้าใจ ความฝันก็เป็นสิ่งมีจริง แต่ไม่ใช่เรื่องจริง............

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
pamali
วันที่ 3 มิ.ย. 2554
ขออนุโมทนาค่ะ
 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ