การออกจากสุคติภพเพื่อไปสู่ภพภูมิที่สูงขึ้นคืออะไร
เรียนท่านวิทยากร ทุกท่าน ใคร่ขอเมตตาชี้แนะ ว่า คนในยุคปัจจุบันนี้ จะออกจาก สุคติภพ คือที่เป็นมนุษย์และเทวดาทั้ง 6 ชั้นนั้น เพื่อไปสู่ภพที่สูงขึ้นๆ (ไม่ใช่ไปอบายภูมิ) มีวิธีปฏิบัตอย่างไร แล้ว เมื่อทำอย่างนั้นๆ เราจะไปภพไหนกันบ้างคะ ปัจจุบัน ชาวพุทธมีวิธีการปฏิบัติกันอย่างหลากหลายตามสำนักมากมาย ล้วนแต่ชี้ชวนไปนิพพาน สำหรับตนเอง คิดว่าการไปนิพพาน เป็นเรื่องยากมากๆ แต่สนใจอ่านฟังธรรมเพราะ มาทบทวนแล้ว หลายเหตุการณ์ในโลกนี้อย่างที่ปรากฏอยู่ ล้วนมาจากการที่คนหนีห่างออกจากพระพุทธศาสนา แต่ชาวโลกก็ไม่รู้เท่าทัน ขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
หนทางในการออกจากสุคติภูมิ 6 มีด้วยการยังอยู่ในภพในสังสารวัฏฏ์และออกจากภพทั้งหมดคือสิ้นสังสารวัฏฏ์ การเจริญฌาน เมื่อฌานไม่เสื่อมย่อมไปเกิดบนพรหมโลก พ้นจากสุคติภูมิ 6
ชั้น แต่เมื่อไปเกิดบนพรหมโลกแล้ว ในเมื่อไม่ใช่หนทางดับกิเลสเมื่อสิ้นผลบุญก็ต้อง
กลับมาเกิดในอบายภูมิบ้างหรือสุคติภูมิ 6 ชั้นอีกได้ เพราะฉะนั้นก็ไม่สามารถพ้นไปจาก
ภพต่างๆ ได้เลย ส่วนผู้ทื่ทำอกุศลกรรมเมื่ออกุศลกรรมให้ผลก็ต้องเกิดในอบายภูมิ 4 มี
นรก เป็นต้น ก็พ้นจากสุคติภูมิ 6 ชั้นเช่นกัน
หนทางในการออกจากภพทั้งหมด คือการอบรมเจริญปัญญาที่เป็นวิปัสสนาซึ่ง
พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ไม่มีใครรู้ได้ด้วยพระองค์เองเหมือนพระองค์ พระองค์ทรงสั่งสอน
โดยให้เข้าใจความจริงในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา แน่นอนครับว่าเมื่อถึงยุคปัจจุบัน
ย่อมมีหนทางมากมายในการที่จะไปถึงพระนิพพาน แต่ต้องพิจารณาด้วยปัญญา และที่
สำคัญต้องเริ่มจากการฟังให้เข้าใจไปเรื่อยๆ เข้าใจความจริงว่าทุกอย่างเป็นธรรมจนเป็น
ปัจจัยให้เข้าใจความจริงในขณะนี้ นี่คือหนทางดับกิเลสครับ ขออนุโมทนา อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
อยากเกิดในพรหมโลกก็ต้องมี "ปัญญา" ด้วยนะคะ
เพราะ ฌาน เป็นเรื่องยาก
มีหลัก มีกฎเกณฑ์ มีองค์ให้ต้องพิจารณา
ได้มาแล้ว ก็ยากที่จะต้องรักษา
ถ้าขาดความเข้าใจคือปัญญาแล้ว อย่าว่าแต่ออกจากสังสารวัฏฏ์เลยค่ะ
แม้แต่ ฌาน ก็เกิดขึ้นไม่ได้
เพราะฉะนั้น สะสมความรู้ความเข้าใจในขณะนี้ไม่ดีกว่าหรือค่ะ
เมื่อปัญญาแก่กล้าสมบูรณ์เมื่อไหร่ เราก็ออกจากสังสารวัฏฏ์ได้ แม้อยู่ในกามภูมิ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ไม่ว่าจะเกิดในภพภูมิใด ก็ยังไม่พ้นจากทุกข์ เมื่อมีการเกิด ก็ต้องมีทุกข์ประการต่างๆ มากมาย, สำคัญอยู่ที่ปัญญา ความเห็นที่ถูกต้อง การได้เกิดมาเป็นมนุษย์เป็นเรื่องที่ยากมาก (ซึ่งมนุษย์ก็เป็นหนึ่งในสุคติภูมิ เป็นผลของกุศลกรรม) เมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ก็ยังแตกต่างกันตามการสะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ผู้ที่มีโอกาสได้ศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมในแนวทางที่ถูกต้อง ซึ่งจะเป็นเหตุให้ปัญญาเจริญขึ้นนั้น มีน้อยมาก การมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ฟังในสิ่งที่มีจริงบ่อยๆ เนืองๆ สะสมความเข้าใจที่ถูกต้องไปตามลำดับ ย่อมเป็นชีวิตที่คุ้มค่า คุ้มค่าแล้วกับการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และได้ฟังพระธรรมซึ่งหาฟังได้ยากเป็นอย่างยิ่งแต่ก็ไม่ใช่เพียงแค่นั้น ยังจะต้องฟัง ต้องศึกษาต่อไป อบรมเจริญปัญญาต่อไป ซึ่งการอบรมเจริญปัญญาเท่านั้นที่จะเป็นไปเพื่อการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น ซึ่งจะเป็นเหตุให้พ้นจากทุกข์ในวัฏฏะ ไม่มีการเกิดอีกเลย ได้ในที่สุด แต่ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมเลย ไม่มีปัญญาเลย แล้วจะพ้นจากทุกข์ในวัฏฏะได้อย่างไร? ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
"ไม่ว่าจะเกิดในภพภูมิใด ก็ยังไม่พ้นจากทุกข์
เมื่อมีการเกิด ก็ต้องมีทุกข์ประการต่างๆ มากมาย"
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงให้สาวกเห็นโทษของภพที่เกิด ไม่ว่าจะเป็นสุคติภูมิใดๆ ก็ตาม ว่าเป็นเหมือนการตกไปในหลุมคูภ (หลุมอุจจาระ) ครับ แต่ก็เป็นสิ่งที่ยากจริงๆ ที่จะเห็นตามอย่างนั้นว่า การเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์เป็นสิ่งที่ไม่น่ายินดี ที่พระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านได้ประจักษ์แจ้งแล้วว่า การเกิดเป็นทุกข์ น่ารังเกียจ แต่ปุถุชนอย่างเรายังมีกิเลสมาก ยังไม่มีปัญญาเห็นโทษละเอียดอย่างนั้น จึงต้องเกิดอีก จะยังไม่พ้นไปจากวัฏฏะเลย เมื่อยังมีเหตุปัจจัยให้เกิด และก็ไม่ทราบสิ่งที่จะเกิดในอนาคตล่วงหน้า อีก จะเกิดในสุคติภูมิ - อบายภูมิก็ได้ ตามกรรม ตามเหตุที่ได้กระทำ จึงไม่ควรใส่ใจสิ่งที่ยังไม่มาถึงซึ่งเกินวิสัยที่จะรู้ เราอาจจะเข้าใจตามได้ พิจารณาไตร่ตรองเพื่อให้ทราบเหตุผลตรงกับที่ทรงแสดงเพื่อกันความเห็นผิดจากการคิดธรรมะเอง แต่อย่างไรก็ตามประโยชน์ใหญ่กว่าที่ไม่ควรทอดทิ้ง ก็คือ การศึกษาพระธรรม อบรมปัญญา เพื่อเข้าใจและเข้าถึงสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เราครับ
ขอนุโมทนา สาธุทุกความเห้น โดยเฉพาะเรื่องการฟังให้เกิดปัญญา เพราะ การเข้าสู่ฌาน โดยเฉพาะโลกุตรฌานนั้นเป็นเรื่องยากยิ่ง ใคร่ขอถามเพิ่มเติม
1. การฟังธรรมเป็นหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ10ประการใช่หรือไม่2. แล้วการที่คนเราจะสร้างกุสลในบุญกิริยาวัตถุ 10 ประการนี้ จะเกิดเป็นกุสลให้ไปสู่พรหมได้อย่างไรและเจ้าตัวนั้นรู้ตนเองได้อย่างไรว่า ทำถูกต้องและเข้าสู่พรหมแล้ว มีพระไตรปิฎกบทใดที่อ้างอิงได้บ้าง คะ ขออนุโมทนา
ดังนั้นกุศลทุกอย่างควรเจริญ อนาคตจะเป็นอย่างไร กำหนดด้วยกาย วาจา ใจ ในปัจจุบัน
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น เรียน ความคิดเห็นที่ ๗ ครับ ก่อนอื่นขออนุญาตยกบุญญกิริยาวัตถุ ๑๐ เพื่อประกอบในการพิจารณา เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องยิ่งขึ้น ดังนี้
๑. ทาน การให้วัตถุสิ่งของเพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้รับ
๒. ศีล ได้แก่ ความประพฤติทางกาย ทางวาจา ที่เป็นกุศล คือ ไม่เบียดเบียนบุคคลอื่นให้เดือดร้อน
๓. ภาวนา การอบรมจิตให้สงบ คือ สมถภาวนา ๑ และ การอบรมให้เกิดปัญญาวิปัสสนาภาวนา ๑
๔. อปจายนะ การอ่อนน้อมต่อผู้ที่ควรอ่อนน้อม ก็เป็นบุญ เพราะว่าจิตใจในขณะนั้นไม่หยาบกระด้างด้วยความถือตัว
๕. เวยยาวัจจะ การสงเคราะห์แก่ผู้ที่ควรสงเคราะห์ ไม่เลือกสัตว์ บุคคล ผู้ใดที่อยู่ในสภาพที่ควรสงเคราะห์ช่วยเหลือให้ความสะดวก ให้ความสบาย ก็ควรจะสงเคราะห์แก่ผู้นั้น แม้เพียงเล็กน้อยในขณะนั้น ก็เป็นกุศลจิต เป็นบุญ
๖. ปัตติทาน การอุทิศส่วนกุศลให้บุคคลอื่นได้ร่วมอนุโมทนา ซึ่งจะเป็นเหตุให้กุศลจิตของบุคคลอื่นเกิดได้
๗. ปัตตานุโมทนา การอนุโมทนาแก่ผู้อื่นที่ได้กระทำกุศล เพราะเหตุว่าถ้าเป็นคนพาล ไม่สามารถจะอนุโมทนาได้เลย เพราะฉะนั้น ขณะใดที่ได้ทราบการกระทำบุญกุศลของบุคคลอื่น ก็ควรเป็นผู้ที่มีจิตยินดี ชื่นชม อนุโมทนาในกุศลกรรมของบุคคลอื่นที่ตนได้ทราบนั้น ไม่ใช่เป็นผู้ที่ตระหนี่แม้แต่จะชื่นชมยินดีในบุญกุศลของบุคคลอื่น
๘. ธัมมเทศนา การแสดงธรรมแก่ผู้ต้องการฟัง ไม่ว่าเป็นญาติมิตรสหาย หรือบุคคลใดก็ตามซึ่งสามารถจะอนุเคราะห์ให้เขาได้เข้าใจเหตุผลในพระธรรมวินัย ก็ควรที่จะได้แสดงธรรมแก่บุคคลนั้น
๙. ธัมมัสสวนะ การฟังธรรมเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกในสภาพธรรมตรงตามความเป็นจริง ก็เป็นบุญ
๑๐. ทิฏฐุชุกัมม์ การกระทำความเห็นให้ตรงตามสภาพธรรมและเหตุผลของสภาพธรรมนั้นๆ ธรรมใดที่เป็นกุศล ก็ให้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงว่า เป็นกุศลจริงๆ ธรรมใดที่เป็นอกุศล ก็ให้พิจารณากระทำความเห็นให้ตรงตามสภาพธรรมจริงๆ ว่าสภาพธรรมนั้นเป็นอกุศล ไม่ปะปนกุศลธรรมกับอกุศลธรรม ดังนั้นจากประเด็นคำถาม ก็จะทำให้เข้าใจได้ว่า การฟังธรรม เป็นบุญญกิริยาวัตถุประการหนึ่งในบุญญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ ส่วนการเจริญกุศลขั้นที่เป็นสมถ-ภาวนา (ซึ่งก็เป็นหนึ่งในบุญญกิริยาวัตถุ ๑๐ เช่นเดียวกัน) ต้องเป็นผู้ที่มีความเข้าใจความต่างกันระหว่างกุศลกับอกุศล ไม่ใช่ไปทำตามๆ กันว่านี้เป็นการเจริญสมถภาวนาโดยที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย อย่างนั้นไม่ใช่สมถภาวนา แต่ถ้าเป็นผู้เจริญอย่างถูกต้องผลของสมถภาวนา คือ ทำให้จิตสงบแนนแน่น เป็นฌานขั้นต่างๆ ซึ่งเมื่อฌานไม่เสื่อมก่อนจุติ ก็ทำให้เกิดเป็นพรหมบุคคล ตามระดับขั้นของฌาน ซึ่งมีแสดงไว้ในพระไตรปิฎก เช่น อาฬารดาบส อุทกดาบส กาฬเทวลดาบส เป็นต้น ถึงอย่างนั้นก็ตามถ้าไม่ใช่ผู้มีปกติอบรมเจริญสติปัฏฐาน ที่จะระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรา-กฏตามความเป็นจริง ก็ยังไม่พ้นจากวัฏฏะ ยังไม่พ้นจากทุกข์ จึงควรอย่างยิ่งที่จะเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏในขณะนี้ ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ควรรู้ยิ่งและก็สามารถรู้ได้ในชีวิตประจำวัน ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณผู้ใช้นามว่า homenumber5 และทุกๆ ท่านครับ...
เรียนท่านความเห็นที่๙ ขออนุโมทนาในกุสลที่อธิบายมา ในคำอธิบาย จับประเด็นได้ว่าฟังธรรมแล้วตองเข้าในให้ได้ว่า อะไรเป็นกุสล อะไรเป็นอกุสล ซึ่งธรรมฝ่ายกุสลก็มหาศาลอยู่ และยังอีกอกุสล ดังนั้น การจะเข้าใจรรมของพุทธองค์ ต้องใช้ทั้งเวลาและความตั้งใจยาวนานมาก อีกทั้งในปัจจุบันมีหลายสำนักที่ชักชวนไปนั่ง เดิน ยืนจงกรม สมาธิ วิปัสสนามากจริงๆ โดยที่บางสำนักมิได้ให้ฟังะรรมอะไรมากนัก เริ่มเปิด อบรมก็เริ่มเดิน นั่งจงกรมฯลฯ จึงมีขอเรียนถาม ท่านความเห็นที่ ๙ และอาจารย์ทุกท่านค่ะ ว่า การไปเข้าร่วมกิจกรรม สมถภาวนา วิปัสสนาภาวนาตามสำนักต่างๆ นั้นควรจะเลือก อย่างไรว่าที่ใดเหมาะสมถูกต้องตามพระพุทธศาสนาที่เป็นกุสล หมายถึง วิธีสังเกตุ มิใช่สำนักใดเฉพาะเจาะจงนะคะ ขออนุโมทนาค่ะ
เรียนความเห็นที่ 10
พระธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องปัญญา ความเห็นถูก เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจว่า
ปัญญาที่เป็นความเห็นถูกที่เป็นวิปัสสนา อันเป็นไปเพื่อละกิเลส ที่เป็นหนทางที่ถูกต้อง
นั้นเป็นอย่างไร ปัญญานั้นรู้อะไร ปัญญาที่เป็นความเห็นถูกที่เป็นการอบรมปัญญาที่ดับ
กิเลส คือการรู้สภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ รู้ความจริงในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา
สอนให้รู้ในสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้น หนทางใดที่สอนให้เข้าใจความจริงในขณะนี้ที่เป็น
ธรรมไม่ใช่เรา นั่นคือหนทางที่ถูก โดยนัยตรงกันข้ามก็เช่นกัน หากสอนให้ไม่เข้าใจ
ความจริงในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรานั่นก็ไม่ใช่หนทางที่ถูกครับ เพราะฉะนั้นตัดสินที่
ปัญญาของตนเอง ด้วยความเข้าใจว่าไม่ใช่รู้อย่างอื่นนอกจากสภพธรรมที่มีจริงในขณะนี้
ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรารับ
เชิญคลิกอ่านที่นี่
เครื่องตัดสินว่าเป็นธรรมของพระพุทธเจ้า [สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต]