สภาพธรรมกับนามรูปต่างกันอย่างไร

 
ชีวิตคือขณะจิต
วันที่  23 มี.ค. 2554
หมายเลข  18095
อ่าน  2,449
สภาพธรรมกับสภาพของนาม-รูปต่างกันอย่างไร สติปัญญาต่างขั้นกันไหมครับ?

  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 23 มี.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ก่อนอื่นต้องเข้าใจความหมายของคำว่า "สภาพธรรม" ก่อนว่า หมายถึงอะไรสภาพธรรม หมายถึง สิ่งที่มีอยู่จริงๆ , สิ่งทีีมีจริง เมื่อกล่าวถึงสภาพธรรม แล้ว กว้างมาก หมายรวมทั้งจิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) รูป (สภาพธรรมที่ไม่รู้อารมณ์) และ พระนิพพาน (สภาพธรรมที่ออกจากตัณหาเป็นเครื่องร้อยรัด เป็นสภาพธรรมที่ดับทุกข์) จากคำถามที่ว่า สภาพธรรม กับ สภาพของนาม - รูป แตกต่างกันอย่างไร? เมื่อเข้าใจถึงความหมายของคำว่าสภาพธรรมแล้ว ก็คงจะพิจารณาได้ ว่า สภาพธรรมกว้างมาก รวมทั้งนามธรรม และ รูปธรรม ที่ควรพิจารณา คือ นามธรรม กับรูปธรรม ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่มีจริงนั้น มีความแตกต่างกันอย่างแน่นอน ไม่ปะปนกันอย่างเด็ดขาด เพราะนามธรรมเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ รู้ในที่นี้หมายถึงรู้อารมณ์ (พระนิพพานเป็นนามธรรม ที่ไม่รู้อารมณ์) ส่วนรูปธรรม เป็นสภาพธรรมที่้ไม่รู้อารมณ์ เป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นตามสมุฏฐานของตนเท่านั้น, แม้แต่นามธรรม จิต แต่ละประเภท เจตสิกแต่ละประเภท ก็มีความแตกต่างกัน ตัวอย่าง นามธรรมในชีวิตประจำวัน เช่น เห็น เห็นเป็นธรรมเป็นนามธรรมประเภทหนึ่งที่เกิดขึ้นทำกิจเห็น และเมื่อเห็นเกิดขึ้นก็ไม่ได้เกิดเพียงจิตเห็นเท่านั้น ยังมีสภาพธรรมอีกประเภทหนึ่งคือเจตสิกเกิดร่วมด้วย, ขณะที่ติดข้องยินดีพอใจในสิ่งหนึ่งสิ่งใดจิตในขณะนั้นเป็นกุศลจิต ประกอบด้วยโลภะและเจตสิกอื่นๆ ที่เกิดร่วมด้วย เป็นต้นส่วนรูปธรรม นั้น มีทั้งหมด ๒๘ รูป แต่รูปที่ปรากฏเป็นปกติในชีวิตประจำวันมีเพียง๗ รูป คือ สี เสียง กลิ่น รส และ สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย (ธาตุดิน ธาตุไฟ และ ธาตุลม) จากคำถามที่ว่า สติปัญญา ต่างขั้นกันไหม? สติเป็นสภาพธรรมที่ระลึก ส่วนปัญญาเป็นสภาพธรรมที่เข้าใจถูก เห็นถูก มีหลายขั้น เป็นไปในทาน ศีล การอบรมความสงบของจิต การอบรมเจริญปัญญา เมื่อจำแนกอย่างกว้างๆ แล้ว มีขั้นที่เป็นโลกิยะ (ไม่ประจักษ์แจ้งพระนิพพาน) และ โลกุตตระ (ประจักษ์แจ้งพระนิพพาน ดับกิเลสได้ตามลำดับมรรค) ที่สำคัญที่สุด ถ้าไม่มีปัญญาขั้นการฟัง ที่เกิดจากการฟังการศึกษาพระธรรมในชีวิตประจำวัน แล้ว การที่จะไปถึงขั้นที่เป็นโลกุตตระ ย่อมเป็นไปไม่ได้ ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณ ชีวิตคือขณะจิต และ ทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 23 มี.ค. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์คำปั่นครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ไตรสรณคมน์
วันที่ 23 มี.ค. 2554

สภาพธรรม หมายถึง สิ่งที่มีจริง

นามรูป ก็หมายถึง สิ่งที่มีจริง

สิ่งที่มีจริง หมายถึง สิ่งที่กำลังมี กำลังเป็น กำลังปรากฎ....แม้ไม่เรียกชื่อ

และเมื่อเป็น สิ่งที่มีจริง ต้อง "จริงตลอดกาล"

ไม่ว่าเกิดกับใคร ที่ไหน เมื่อไหร่ สภาวะต้องไม่เปลี่ยน

ชื่อเป็นเพียงแค่สมมติบัญญัติของ สิ่งที่มีจริง

เพื่อให้เข้าใจ สิ่งที่มีจริง โดยนัยต่างๆ

ไม่ว่าจะเป็น ธาตุ ธรรม สัจจะ

นามรูป ขันธ์ อายตนะ ฯลฯ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ชีวิตคือขณะจิต
วันที่ 24 มี.ค. 2554
ขณะระลึกรู้สิ่งที่มีจริง คือ สภาพธรรม นาม รูป เป็นอย่างไรครับ?
 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
khampan.a
วันที่ 24 มี.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น เรียน ความคิดเห็นที่ ๔ ครับ ขณะที่ระลึกรู้ เป็นกิจหน้าที่ของธรรม คือ สติ และปัญญา เกิดขึ้น ระลึกและรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริง ขึ้นอยู่กับว่าสภาพธรรมใดปรากฏ เป็นอารมณ์ของสติและปัญญาในขณะนั้น ซึ่งขณะที่ระลึกรู้นั้น สภาพธรรมไม่ว่าจะเป็นนามธรรม หรือ รูป-ธรรมก็ตาม ก็มีลักษณะของธรรมปรากฏให้รู้ว่าเป็นธรรม แต่ถ้าสติปัญญาไม่เกิด ก็คือไม่เกิด เพราะธรรมเป็นอนัตตา ไม่สามารถบังคับบัญชาได้ ซึ่งจะต้องเป็นผู้มีความเข้าใจถูกต้องในเรื่องของสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน จึงจะมีเหตุปัจจัยให้สติปัญญาเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ของตนๆ ได้ ไม่ใช่ตัวตนที่จะระลึกรู้สิ่งนั้นสิ่งนี้ ที่สำคัญที่สุด ต้องศึกษาสภาพธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงให้เข้าใจจริงๆ ว่า ธรรม คืออะไร มีในขณะไหน ส่วนการระลึกเป็นกิจหน้าที่ของสติและปัญญา ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ชีวิตคือขณะจิต
วันที่ 25 มี.ค. 2554

หลังผมใส่บาตรพระที่หน้าบ้านแล้ว ขณะกำลังกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลอยู่ ได้ยินเสียงข้างหลัง ระแวงว่าใครมาทำอะไร พอกรวดนำเสร็จหันมาดู เห็นใบมะม่วงหล่นอยู่ คงถูกลมแผ่วครูดกับพื้นปูน รู้สึกว่าขำตัวเอง ถามว่าผมระลึกสภาพธรรมไหมครับ?

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
khampan.a
วันที่ 25 มี.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น เรียนความคิดเห็นที่ ๖ ครับ

ณ ตอนนั้นสภาพธรรมก็เกิดแล้วดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย มีเห็น มีได้ยิน มีกุศลหรือ กุศลเกิดต่อตามการสะสมของตนเอง ซึ่งตนเองย่อมทราบด้วยตนเองว่าเป็นสติที่ระลึกตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังในขณะนั้นที่เกิดพร้อมกับปัญญา หรือว่าเป็นเพียงความนึกคิดด้วยกุศล ซึ่งมีมากเป็นอย่างยิ่ง ถ้าไม่รู้ ไม่เข้าใจ ก็ยังไม่ใช่-การระลึกสภาพธรรม เพราะในขณะนั้น ไม่รู้อะไร เพราะฉะนั้น ก็จะต้องฟัง ต้องศึกษาพระธรรม ฟังในสิ่งที่มีจริง สะสมปัญญาต่อไป ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ชีวิตคือขณะจิต
วันที่ 26 มี.ค. 2554

ขณะนั้นเงียบไม่มีสิ่งใดอยู่ในบริเวณนั้น ลมก็แผ่วเพียงให้กิ่งใบไม้ครูดพื้น ผมจดจ่อกับการกรวดน้ำอยู่ เสียงใบไม้ที่ครูดพื้นดังขัดการจดจ่อ ทำให้ระแวงหลัง อยากจะรู้ว่ามีอะไรด้วยสัญชาตญาณของการป้องกันตัว แต่ก็คิดว่าไม่น่าจะมีอะไร การรู้สึกตัวอย่างนี้เป็นการระลึกสภาพธรรมที่ปรากฏ แต่ไม่ใช่การระลึกสภาพของนาม-รูป ใช่ไหมครับท่านkhampan.a

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
khampan.a
วันที่ 26 มี.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เรียนความคิดเห็นที่ ๖ ครับ สภาพธรรม คือ สิ่งที่มีจริง มีอยู่ตลอดเวลา ทุกขณะของชีวิต ไม่พ้นไปจากความเกิดขึ้นเป็นไปของจิต และ เมื่อจิตเกิดขึ้นก็มีสภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต คือ เจตสิก ด้วย ตามสมควรแก่ประเภทของจิตนั้นๆ ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่า จิตและเจตสิกจะต้องรู้อารมณ์ คือ สิ่งที่จิตและเจตสิกรู้ แต่จะรู้ตามความเป็นจริงซึ่งเป็นกิจหน้าที่ของปัญญาหรือไม่นั้น ต้องเป็นความเข้าใจถูกเห็นถูกของผู้นั้นจริงๆ ครับ ขอให้ฟัง ศึกษาพระธรรมต่อไป นะครับ เมื่อมีความเข้าใจเพิ่มมากยิ่งขึ้น ความสงสัยก็จะลดน้อยลงตามระดับขั้นของปัญญา ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
ชีวิตคือขณะจิต
วันที่ 27 มี.ค. 2554

ครับท่านkhampan.a ขออนุโมทนาและขอบพระคุณครับ ขอให้ท่านเจริญในธรรม

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
wannee.s
วันที่ 6 เม.ย. 2554

สภาพธรรม คือสิ่งที่มีจริง มี 2 อย่าง คือนามธรรมและรูปธรรม สติคือสภาพที่

ระลึกได้อย่างเดียว ระลึกที่เป็นไปในกุศลทุกอย่าง แต่ปัญญา คือสภาพที่รู้ถูก

เห็นถูก เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง เช่น เชื่อกรรมและผลของกรรม ฯลฯ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
govit2553
วันที่ 22 เม.ย. 2554

จิต เจตสิก รูป นิพพาน เป็นสิ่งที่มีจริง

เราเป็นแค่สภาพธรรม ไม่มีจริง ไม่มีเรา

จากประโยคข้างบน จะแก้ว่าอย่างไร

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
khampan.a
วันที่ 22 เม.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น เรียน ความคิดเห็นที่ ๑๒ ครับ ความเข้าใจถูก เป็นสิ่งที่สำคัญ เมื่อได้ฟังพระธรรม ฟังในสิ่งที่มีจริง สะสมความเข้าใจไปตามลำดับ ก็จะทำให้เข้าใจว่า ธรรม หมายถึง สิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริงทุกอย่างทุกประการ เป็นธรรม ไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะ เป็นจริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น เห็น มีจริง โกรธ มีจริง เมตตา มีจริง ความเข้าใจถูก มีจริง เป็นต้น ล้วนเป็นธรรมทั้งหมด จะเปลี่ยนให้เป็นอย่างอื่น ก็ไม่ได้ เพราะเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป สิ่งที่มีจริงทุกอย่าง เมื่อกล่าวอย่างกว้างๆ แล้ว มี ๔ ประการ คือ จิต เจตสิกรูป และ พระนิพพาน เมื่อกล่าวโดยประมวลแล้ว ก็เป็นนามธรรม กับ รูปธรรม และเมื่อกล่าวให้ครอบคลุมที่สุด คือ เป็นธรรม * จากข้อความที่อ้างถึง นั้น จิต เจตสิก รูป และ พระนิพพาน เป็นสิ่งที่มีจริง

เป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริง ส่วนประโยคที่ว่า เราเป็นแค่สภาพธรรม ไม่มีจริง ไม่มีเรา ถ้าจะใช้คำให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ก็สามารถเพิ่มเติมได้ ว่า ที่สมมติว่า รา เพราะมีสภาพธรรม เราไม่มีจริง ไม่มีเรา แต่มีธรรม * เมื่อเข้าใจว่า ทุกอย่าง เป็นธรรม เป็นสภาพธรรมที่มีจริงแต่ละอย่างๆ จึงไม่มีเราไม่ใช่เรา เพราะเป็นแต่เพียงธรรมแต่ละอย่างๆ เท่านั้น ที่กล่าวว่า "เรา" นั้น เพราะมีธรรมที่มีจริงเหล่านี้ คือ มีการเกิดขึ้นเป็นไปของธรรม คือ จิต เจตสิก และ รูปจึงสมมติว่า "เรา" สมมติว่า เป็นคนนั้น คนนี้ แท้ที่จริงแล้ว ไม่มีเรา ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีคนนั้น ไม่มีคนนี้ แต่มีธรรม ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณ govit2553 มา ณ ที่นี้ด้วยครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
orawan.c
วันที่ 23 เม.ย. 2554

ขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ