ทำไม่ได้
ใครคิดจะไปปฏิบัติธรรม...แน่นอน ทำไม่ได้ ใครปฏิบัติ เพราะตามความเป็นจริง
ไม่มีเรา ไม่มีใคร มีแต่สภาพธรรมหลากหลายที่เกิดแล้วดับแล้วตามเหตุปัจจัย ต้อง
ตรงตั้งแต่ต้น จริงใจต่อพระธรรม เป็นเรื่องของปัญญา ไม่มีใครทำอะไรได้เลย เพราะ
ขณะนี้ธรรมะเกิดแล้ว ก็มัวแต่จะไปทำอยู่เรื่อยๆ แล้วเมื่อไหร่จึงจะเข้าใจลักษณะสภาพ
ธรรมที่กำลังปรากฏเกิดแล้วดับแล้วตามเหตุปัจจัยได้ ใครจะทำ เห็น ให้เกิดได้ ใคร
จะทำ ได้ยิน ให้เกิด...ทำไม่ได้ ไม่ว่า เห็น หรือ ได้ยิน เป็นผลของกรรม เมื่อมี
เหตุปัจจัยพร้อม เห็น จึงเกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป เมื่อก่อนก็เป็นผู้ อยากทำ คือเวลา
จะให้ทาน ก็หาวิธีที่จะให้ทานนั้นประกอบด้วยปัญญา ก็เป็นเราที่คิดหาวิธี ซึ่งไม่ได้
เกิดจากความเข้าใจธรรมจริงๆ เลย แต่เมื่อได้มาศึกษาพระธรรม ค่อยๆ อบรมความ
เข้าใจ ความเข้าใจนั้นเป็นปัญญา และเมื่อมีความเข้าใจมากขึ้นขณะให้ทานให้เพื่อ
ประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น โดยไม่ได้หวังผลใดๆ ให้เพื่อการขัดเกลากิเลส จุดประสงค์ที่
แท้จริงเพื่อความเข้าใจสภาพธรรมถูกต้องตามความเป็นจริง จึงจะเป็นปัจจัยให้
กุศลนั้นๆ ประกอบด้วยปัญญา และผู้ที่มีความเข้าใจพระธรรม ก็ไม่ใช่ว่า เวลาให้ทาน
จะมีปัญญาเกิดร่วมด้วยทุกครั้ง ซึ่งต้องแล้วแต่เหตุปัจจัยจริงๆ เพราะว่า สภาพธรรม
เกิดแล้วดับแล้วตามเหตุปัจจัย ต้องมั่นคงในความเป็นอนัตตา ไม่มีใครทำ
อะไรได้เลยจริงๆ
...ขออนุโมทนาค่ะ...
" ..จุดประสงค์ที่แท้จริงเพื่อความเข้าใจสภาพธรรมถูกต้องตามความเป็นจริง.. "
ต้องมั่นคงในความเป็นอนัตตา ไม่มีใครทำอะไรได้เลยจริงๆ
ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาพี่เมตตาครับ
"...และเมื่อมีความเข้าใจมากขึ้น
ขณะให้ทานให้เพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น
โดยไม่ได้หวังผลใดๆ ให้เพื่อการขัดเกลากิเลส
.......
ผู้ที่มีความเข้าใจพระธรรม
ก็ไม่ใช่ว่า เวลาให้ทานจะมีปัญญาเกิดร่วมด้วยทุกครั้ง
ซึ่งต้องแล้วแต่เหตุปัจจัยจริงๆ .."
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ทำไม่ได้ น่าจะมุ่งเน้นไปที่ สติที่ระลึกรู้สภาพธรรมต่างที่เกิดขึ้น มากกว่านะครับ ที่จริงในแต่ละสำนัก ครูบาอาจารย์บางท่าน โดยจริต นิสัยของท่านบำเพ็ญมาอย่างนั้น การสอนลูกศิษย์ท่านก็ต้องสอนตามแนวทางของท่าน ที่พูดนี่ไม่ใช่จะไปปกป้องบรรดา สำนักต่างๆ นะครับ คือบางสำนัก ท่านอาจจะไม่ได้ศึกษาปริยัติ แต่โดย สภาวธรรม ต่างๆ ท่านก็ทราบ หรือง่ายๆ ก็คือ รู้ปรมัตถ์ แต่บัญญัติ อาจจะไม่ทราบ ท่านอาจารย์สุจินต์ท่าน เคยกล่าวไว้ว่าครูบาอาจารย์บางท่าน ท่านรู้ สภาพธรรมะ แต่เพราะท่านไม่ได้ ศึกษาพระไตรปิฏก ท่านก็เลยเรียกชื่อไม่ถูก เช่น บางท่าน เรียก สติสัปชัญญะ ว่า จิตผู้รู้ เป็นต้น เราอย่าผูกขาดแนวทางไว้ที่สำนักใดสำนักหนึ่งนะครับ ผมเข้าใจว่าบางท่าน อาจจะเถียง ว่าถ้ายังไม่เข้าใจเป็นพื้นฐาน ก็ไม่มีทางที่จะเป็นสัมมาทิฏฐิได้ อันนี้ถูกต้องครับผมไม่เถียง แต่ก็ไม่ได้ความว่าสำนักอื่นเขาจะไม่เข้าใจนะครับ ถ้าไม่ปิดตัวเองลองศึกษา ดูตามเน็ตได้ ว่าสมัยแนวทางอื่นเขาสอนอย่างไร สมัยนี้ไม่เหมือนสมัยก่อน หลายสำนัก มีการศึกษา พระไตรปิฎก และปริยัติ ร่วมด้วย แต่ปริยัติ ถ้าขาดปฏิบัติ ก็ไม่เกิดปฏิเวธ ไม่งั้นคนอ่านพระไตรปิฎก จบเล่มก็เป็น อรหันต์ได้ และแท้จริง ทั้ง ปริยัติ ปฏิบัติ เกิด ขณะเดียว คือ ขณะที่สติปัฏฐานเกิด ระลึกรู้สภาพธรรมะในปัจจุบัน และปฏิเวธ ก็สืบเนื่องจาก สตินั่นเอง
คนที่จะอ่านและเข้าใจพระไตรปิฎก จริงๆ แล้วก็คือ ภูมิธรรมระดับ โสดาบันขึ้นไป แต่ความเข้าใจอาจจะยังไม่มากพอเท่าพระอรหันต์ เพราะก่อนที่จะเป็นพระโสดาบัน สติปัญญาของท่านต้อง ผ่านสภาพธรรมต่างๆ จนปัญญาแก่รอบพอที่จะเกิด อริยมรรค หรือโสดาปัตติมรรคจิต และโสดาปัตติผลจิต นั่นคือ ท่านรู้วิเศษลักษณะ (ด้วยสติ) คือ จิต ชนิดต่างๆ ว่ามีลักษณะต่างกัน โดยถ้าใคร ศึกษาพระไตรปิฏก อาจจะเรียกชื่อถูก และ รู้สามัญญลักษณะ (ด้วยสัมปชัญญะ หรือ ปัญญา) คือ ลักษณะร่วมของ จิตชนิดต่างๆ ทีเกิดขึ้น คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จนกระทั่ง สามารถวางเฉย ต่ออารมณ์ ที่ผ่านเข้ามาทางปัญจทวาร และอารมณ์ที่จิตปรุงแต่งขึ้นทางมโนทวาร ที่เรียกว่า สังขารอุเบกขาญาณ ซึ่งจะต้องใช้ ขันติบารมี คือ อดทนอย่างยิ่ง อดทนที่สุดในชีวิต บารมีที่บำเพ็ญมาตั้งแต่ อดีตชาติจะได้ใช้ ก็ตอนนี้แหละ ถ้าผ่านได้ ก็จะเกิด อนุโลมญาณให้เห็นอริยสัจ บรรลุมรรคผล ต่อไป บางท่าน ที่เป็นพระโพธิสัตย์ปรารถพุทธภูมิ ก็จะต้องบำเพ็ญบารมี ต่อไป จนกว่าบารมีเพียงพอที่จะเป็นพระพุทธเจ้า
ที่กล่าวมาทั้งหมด ไม่ต้องการอวดภุมิธรรม แต่อย่างใด นะครับเพียงแต่ สภาวธรรมะขณะนั้นพาไป เลยต้องพูดซะยืดยาว แต่ต้องการให้เข้าใจ คนอื่นว่าทุกคนเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ ล้วนแสวงหาความพ้นทุกข์ด้วยกันทั้งสิ้น เพียงรูปแบบอาจจะต่างกัน หลายท่านมาเจออาจารย์สุจินต์ก็เพราะ ด้วยอำนาจวาสนาปรุงแต่ง ให้ได้มีโอกาสอย่างนี้ อย่างที่เราศึกษาทุกวันนี้ ก็เน้นที่ความเข้าใจเป็นเบื้องต้นก่อน ว่าแต่ละอย่างที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เรา จนกว่าจะเป็น สัญญาที่มั่นคงขึ้น เป็นเหตุเป็นปัจจัย เป็นสังขารปรุงแต่ง ให้สติระลึก ว่า แต่ละขณะเป็น ธรรมะ ไม่ใช่เรา ฉะนั้น ที่เราฟังธรรมเนี่ยก็เพื่อทำเหตุ ไปเรื่อยๆ โดยไม่หวังผล (แต่ปุถุชน แทบจะร้อยทั้งร้อยก็หวังทั้งนั้นนะครับ เราเองก็ต้องยอมรับตัวเราเองด้วย) จะมีก็เฉพาะในพระอริยะเท่านั้นล่ะ ที่หวังผลในปัจจุบัน ไม่ใช่ผลในอนาคต เพราะผลในปัจจุบัน ก็คือ สติ
ถ้าล่วงใครขออโหสิกรรม และอนุโมทนาในกุศลจิตทุกท่าน ครับ
แม้ความหวัง ก็เป็นเครื่องกั้น เพราะสภาพธรรมขณะนี้เกิดแล้วดับแล้ว สิ่งที่
กำลังปรากฏขณะนี้เป็นสิ่งที่ควรรู้ ควรศึกษาให้เข้าใจว่า หวัง ก็เป็นธรรมอย่างหนึ่ง
ที่เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัยที่เกิดตามการสะสมของแต่ละบุคคล จะไปบังคับไม่ให้
หวังเกิดขึ้นก็ไม่ได้ แต่ละขณะที่เกิดขึ้นล้วนเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยทั้งสิ้น ไม่ใช่เรา
เลยแม้ขณะเดียว...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยค่ะ...