ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณวรรณวิไล(คุณตุ๊กแก) ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๔
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๕ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔ คุณสมศักดิ์ และ คุณวรรณวิไล (คุณตุ๊กแก) เชาวน์ธาดาพงศ์ ได้กราบเรียนเชิญ ท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และคณะวิทยากรของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ไปร่วมสนทนาธรรมที่บ้านของท่าน ณ ซอยสายไหม ๖๖ เขตสายไหม กรุงเทพมหานคร
ความที่ท่านเจ้าของบ้านทั้งสองเป็นศิลปิน บ้านของท่านจึงมีการออกแบบที่น่าอยู่มากๆ เป็นบ้านที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น อยู่สบาย อากาศถ่ายเทดีมาก และที่สำคัญ ไม่ต้องติดเครื่องปรับอากาศเลย ทุกคนได้รับอากาศบริสุทธิ์ตลอดเวลา
ภายในบ้านประดับภาพที่คุณสมศักดิ์เป็นผู้วาด ไว้ทุกมุมของบ้าน มีเครื่องเซรามิคส์ ที่คุณตุ๊กแกปั้นด้วยตัวเองประดับไว้ทั่วบ้านเช่นกัน รวมทั้งภาพแมวและสุนัขตัวโปรด ที่คุณตุ๊กแกวาดไว้ที่ผนังห้องน้ำ สวยงาม น่ารักมากๆ ครับ
นอกจากนี้ ท่านทั้งสองยังปลูกต้นไม้และจัดสวนรอบๆ บ้านด้วยตัวเอง ความเป็นศิลปินของท่าน แม้แต่ต้นไม้และของต่างๆ ที่ประดับประดาภายในสวนรอบบ้าน ก็ถูกตกแต่ง จัดเรียง อย่างมีศิลป ดูแล้วสบายตา สบายใจ ข้าพเจ้าได้ยินท่านอาจารย์กล่าวกับท่านเจ้าของบ้านก่อนกลับในวันนั้นว่า "บ้านนี้น่าอยู่ทุกมุมเลยนะคะ"
ที่ลืมกล่าวเสียไม่ได้อีกประการหนึ่ง ไม่เช่นนั้นกระทู้สนทนาธรรมของข้าพเจ้าจะไม่สมบูรณ์ คือเรื่องอาหาร วันนี้ก็มีหลากหลายเช่นเคยครับ เป็นความแช่มชื่นใจของสหายธรรมหลายท่าน ที่มีกุศลจิต ทั้งทำและคัดเลือกอาหาร ขนม ผลไม้ และแม้แต่น้ำดื่มก็มีหลากหลายชนิดมาร่วมเจริญกุศล ให้เลือกรับประทานได้ตามความชอบ ข้าพเจ้าขอกราบอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน มา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
การสนทนาธรรมในวันนี้ เป็นกาลแห่งการสนทนาธรรมที่แสนวิเศษอีกครั้งหนึ่ง เป็น ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ทุกท่านในวันนั้น ได้รับผลของกุศลกรรมที่เคยกระทำไว้ในอดีต ให้ได้เห็นสิ่งที่สวยงาม ได้ลิ้มรสอาหารอร่อยๆ ที่สำคัญที่สุดคือ ได้ยินเสียงพระธรรม ได้ฟังพระธรรม ได้มีโอกาสสะสม อบรมเจริญปัญญา ซึ่งจะเป็นที่พึ่งวิเศษสุดของบุคคล สำหรับการเดินทางไกลอันแสนกันดารในสังสารวัฏฏ์ แต่อบอุ่นอยู่ท่ามกลางกัลยาณมิตร
.........
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้าที่ 74
๑. ปฐมกัลยาณมิตตสูตร
มิตรดีเป็นนิมิตแห่งอริยมรรค
[๑๒๙] สาวัตถีนิทาน.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อพระอาทิตย์จะขึ้น สิ่งที่ขึ้นก่อน สิ่งที่เป็นนิมิตมาก่อน คือ แสงเงินแสงทอง สิ่งที่เป็นเบื้องต้น เป็นนิมิตมาก่อน เพื่อความบังเกิดแห่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ของภิกษุ คือ ความเป็นผู้มีมิตรดี ฉันนั้นเหมือนกัน
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันภิกษุผู้มีมิตรดี พึงหวังข้อนี้ได้ว่า จักเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ จักทำให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘.
........
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
คุณคำปั่น วันนี้ก็เป็นโอกาสที่ดีนะครับ ที่คุณวรรณวิไล และคุณสมศักดิ์ เชาวน์ธาดาพงศ์ ซึ่งเป็นเจ้าของบ้าน ได้จัดให้มีการสนทนาธรรมขึ้นในวันนี้นะครับ เป็นโอกาสที่ดี ที่พวกเราจะได้มีโอกาส สอบถามปัญหาธรรมะ จากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เพื่อความรู้ความเข้าใจธรรมะถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น
เพราะว่า โอกาสที่จะได้ฟังพระธรรมนั้น ก็เป็นโอกาสที่หาได้ยาก แต่ว่าวันนี้ก็มีโอกาสแล้ว ที่จะได้ฟัง ได้ศึกษาพระธรรม สะสมปัญญามากยิ่งขึ้นนะครับ
อาจารย์อรรณพ ครับ ก็เป็นอีกโอกาสหนึ่ง ที่เป็นโอกาสของการสะสม อบรมเจริญความเข้าใจ ซึ่งความเข้าใจ สิ่งที่เป็นจริง จึงจะเป็นประโยชน์ ที่จะสะสมไว้ในจิตสืบต่อไป เป็นพืชเชื้อที่ดี แล้วก็เป็นปัจจัย สู่การที่จะ ชินกับความเป็นจริงที่กำลังปรากฏ ซึ่งท่านใดที่จะร่วมสนทนาก็เชิญได้เลยนะครับ
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่การบรรยายธรรมะ นะคะ เป็นการสนทนาธรรม เพราะเหตุว่า ทุกคนที่สนใจธรรมะ ถ้ามีอะไรที่คิดว่า ควรจะได้เข้าใจให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เราจะได้สนทนาเรื่องนั้น ถ้ามีคำถาม ก็มีคำตอบเพราะเหตุว่า ไม่ใช่การบรรยายธรรมะ นะคะ
คุณสมศักดิ์ ครับ ผมกราบขออนุญาตท่านอาจารย์ เป็นคนแรกนะครับ คำถามอาจจะไม่แน่ใจครับว่า เข้ากับเรื่องธรรมะแค่ไหน? แต่ว่า ในฐานะที่ผมเป็นคนอ่านหนังสือคนหนึ่ง แล้วก็ทำงานศิลปะ มักจะได้ยินวลี อยู่วลีหนึ่ง ที่นักเขียนก็ดี หรือว่า นักศิลปะก็ดี มักจะนำไปใช้พูดกันเสมอ ก็คือคำว่า " ความดี ความจริง และความงาม "
ฉะนั้น ทั้ง ๓ คำนี้ มีความเกี่ยวโยง สัมพันธ์กัน ในฐานะที่เราจะศึกษาธรรมะได้อย่างไร?
ท่านอาจารย์ "ความจริง" หมายความถึงว่า สิ่งนั้น มีจริงๆ แน่นอน ไม่ใช่สิ่งที่ใคร เพียงคิด เพ้อฝัน นะคะ เพราะฉะนั้น แม้แต่ว่าเป็นจิตรกร หรือว่าจะเป็นใครก็ตามแต่ ขณะนั้น เป็นจริงๆ มีจริงๆ เพราะเหตุว่า ถ้าไม่มีจิต ที่สะสมมา ที่จะคิดเป็นไปในเรื่องนั้น สิ่งนั้นก็เกิดขึ้นไม่ได้
....เพราะฉะนั้น ตามความเป็นจริง เราเพียงแต่เห็นสิ่งต่างๆ แต่ไม่รู้ที่มา ที่ไป เลยว่า สิ่งต่างๆ นั้น เกิดขึ้นได้อย่างไร? อย่างวันนี้ เราเห็นรูปภาพ อะไร? ทำให้มีรูปนี้ ใช่ไหม? เพราะฉะนั้น เราไม่ใช่เพียงแค่เห็น แล้วก็ไม่รู้ว่า แท้จริงแล้ว มีตั้งแต่เผินๆ จนกระทั่ง ลึกลงไป จนถึง ที่สุด อย่างเวลานี้ ถ้าไม่มีใครสักคนเดียว ก็ว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย แต่เป็นไปไม่ได้ เพราะความจริงคือ ขณะนี้ มีจิต แน่นอน ใช่ไหม?
...เพราะฉะนั้น "จิต" ทุกคนพูดได้ ว่ามีจิต กำลังมีจิต แต่จิตอยู่ที่ไหน? จิตคืออะไร? ไม่มีการที่จะรู้ได้เอง ถ้าไม่มีการฟังพระธรรม จากการตรัสรู้
...เพราะฉะนั้น สิ่งที่เผินๆ แล้วมีจริงทั้งหมดนี้ เป็นสิ่งซึ่ง ไม่มีใครสามารถที่จะ "รู้ความจริง" นั้นได้ นอกจากผู้ที่มีปัญญา ถึงระดับที่จะรู้ความจริงนั้นได้ โดยการอบรม "ความดี" นี่ก็เริ่มมี "คำ" แต่ละคำที่เราใช้ " ความจริง ความดี ความงาม " ๓ คำ
เพราะฉะนั้น "ความจริง" ก็คือ ต้องมี สิ่งที่มีจริงๆ ขณะนี้ และ "รู้ความจริง" นั้นเมื่อไหร่ ขณะนั้นก็รู้ได้ ว่าเป็นสิ่งที่ "จริงแท้ๆ "
...ไม่มีจิต รูปภาพต่างๆ เหล่านี้ ก็ไม่มี ต้นไม้ ดอกไม้ อาหาร อะไรๆ ก็มีไม่ได้เลย...
เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงแน่ๆ คือ "จิต" ซึ่งไม่รู้ว่าจิตคืออะไร? เพียงเผินๆ ว่ามี แล้วก็สามารถที่จะคิด จะทำ จะนึก จะปรุงแต่ง อะไรๆ ก็ได้ทั้งนั้น นี่ก็เป็นความเข้าใจเพียงเผินๆ ใครๆ ก็รู้!!!
...แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ความจริง ซึ่งเปลี่ยนอีก ไม่ได้เลย และความจริง ของสิ่งที่ทรงตรัสรู้ ทรงตรัสรู้ โดยประการทั้งปวง อย่างเราใช้คำว่า "จิต" พูดได้คำเดียวว่า "จิต" แต่พระองค์ ทรงแสดงจิต โดยลักษณะ โดยกิจหน้าที่ โดยเหตุใกล้ โดยสิ่งนั้นๆ ที่ทำให้จิตเกิดขึ้น และ ความเป็นจริงของจิต โดยประการทั้งปวง...
เพราะฉะนั้น การที่มีโอกาส จะได้ยิน ได้ฟังพระธรรม ก็เป็นการที่สามารถที่จะเข้าถึงความจริง ด้วยปัญญา ความเห็นที่ถูกต้อง ในสิ่งที่มีจริงๆ แต่ไม่ใช่มีหลายคน หรือว่าคนทั่วไป ที่จะสนใจที่จะรู้ เพราะเหตุว่า เกิดมาแล้ว เขาก็มีความสนใจ ในสิ่งที่ปรากฏ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่ละวัน แต่ละเรื่องไป แต่ไม่ได้คิดถึง (ว่า) ควรที่จะรู้ความจริง ยิ่งกว่านั้น!!!
เพราะฉะนั้น โอกาสที่จะมีการฟังพระธรรมนี้ จะเห็นว่า แม้ในครั้งที่ยังไม่ปรินิพพาน ก็ไม่ใช่ว่า ทุกคนจะมาฟังหมด แต่ว่า คนที่ได้สะสมศรัทธา และปัญญา ที่รู้ว่า เกิดมาแล้วต้องตาย และก่อนตาย ไม่รู้อะไรเลย และ สิ่งที่มีตั้งแต่เกิดจนตาย ก็ไม่สามารถที่จะติดตามไปได้เลย แม้เพียงเมื่อวานนี้ ก็ไม่เหลือ แม้เพียงเมื่อกี้นี้ ก็ไม่เหลือ
เพราะฉะนั้น ถ้ามีการเข้าใจ "ความจริง" อย่างนี้ ก็จะเห็นประโยชน์ของการ เกิดมาแล้ว อะไรจะเป็นประโยชน์ที่สุด?
...ประโยชน์ที่สุด คือ ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่า "ปัญญา"
เพราะฉะนั้น ความจริง จะรู้ได้ด้วย "ปัญญา" ถ้าไม่มีปัญญา ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ความจริงได้เลย "ความจริง" ก็มีหลากหลาย ความโกรธ ก็จริง ความเมตตา ก็จริง เพราะฉะนั้น "ความจริง" ที่เป็น "ความดี" ก็มี ที่เป็น "ความชั่ว" ก็มี แต่ทั้งสองอย่าง ก็จริง
เพราะฉะนั้น ถ้ากล่าวถึงความจริง ก็ไม่ใช่หมายความว่า กล่าวเฉพาะสิ่งที่ดี ทุกอย่างหมด ที่มีจริงๆ ปฏิเสธไม่ได้ แล้วภาษาบาลีก็ใช้คำว่า "ธรรมะ" คือ สิ่งที่มีจริงๆ แล้วก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ก็คือ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นอย่างนั้น
เช่น ขณะนี้ มี "แข็ง" กำลังปรากฏ ใครทำให้ "แข็ง" เกิดขึ้น? แล้วก็ใครสามารถที่จะเปลี่ยนแข็ง ให้เป็นอย่างอื่น คือ เป็น "เสียง" ไม่ใช่ "แข็ง" ก็ไม่ได้
เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่มีจริง เป็นธรรมะ หรือ ธาตุ ในลักษณะของธรรมะนั้นๆ "แข็ง" เป็น "แข็ง", "เห็น" เป็น "เห็น" ไม่ใช่ได้ยิน, "คิด" เป็น "คิด" ไม่ใช่โกรธ แต่ละอย่างๆ ซึ่งเราเกิดมาแล้ว มีทั้งหมด โดยไม่รู้ความจริงเลย!!! ไม่รู้ความจริงว่า พระธรรมที่ทรงแสดง ไม่ใช่แสดงให้เราเข้าไปรู้ "เรื่องอื่น"
แต่หมายความว่า แสดงให้เราสามารถเข้าใจ สิ่งซึ่งเราไม่เคยรู้ แต่มีมาแล้ว ตั้งแต่เกิด เพราะฉะนั้น ก็คือว่า ไม่ว่าจะได้ฟังธรรมะเมื่อไหร่ ก็พูดถึง "ความจริง" ที่กำลังมี ในขณะนี้ ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนเลย เดี๋ยวนี้ กำลังปรากฏ!!
ความจริง ก็ต้องรู้ได้ด้วย ปัญญา แล้วก็ ความจริง ก็มีทั้ง ฝ่ายดี และ ฝ่ายไม่ดี เพราะฉะนั้น อะไร? เป็น "ความงาม" ของ "ความจริง"? ก็คือ ธรรมะฝ่ายดี ฝ่ายไม่ดี นี่ งามไหม? โกรธ ตึงตังๆ งามไหม? พูดจาก็แย่เลย ใช่ไหม? งามไหม?
เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า ทุกอย่าง ที่เรามี ที่เราไม่เคยรู้มาก่อน พอฟังธรรมะแล้ว เราก็รู้ ก็เข้าใจว่า ที่จริงแล้วก็คือ "สิ่งที่มี" นั่นแหละ แต่เราไม่เคยรู้เลย!!!
อย่าง "เห็น" ก็มีจริงๆ "ได้ยิน" ก็มีจริง "คิด" ก็มีจริงๆ แต่ไม่เคย "รู้ความจริง" ของสิ่งต่างๆ เหล่านั้นเพราะฉะนั้น "ธรรมะ" ก็คือ ไม่ใช่เรื่องอื่นเลย เรื่องสิ่งที่มีทุกขณะ แม้ขณะนี้ และ ขณะต่อๆ ไป ก็เปลี่ยนลักษณะที่เป็นจริงมาแล้ว และกำลังเป็นจริง (ไม่ได้) จะจริงต่อไปด้วย ชัดเจน หรือว่ายังสงสัยคะ?
คุณสมศักดิ์ ชัดเจนแล้วครับ
ท่านอาจารย์ ค่ะ ศิลปิน จิตรกร จริงหรือเปล่า?
คุณสมศักดิ์ จริงครับ
ท่านอาจารย์ ค่ะ จริงตาม "ลักษณะต่างๆ " ที่ได้สะสมมา
คุณฟองจันทร์ ท่านอาจารย์คะ แล้วก็ ความจริง ที่จะรู้ได้ด้วยปัญญานี่ ไม่ใช่ง่ายๆ นะคะท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เราจะเริ่มต้นยังไงคะ ท่านอาจารย์คะ?
ท่านอาจารย์ ค่ะ เริ่มต้น โดยการออกไปข้างนอก ได้ไหม?
คุณฟองจันทร์ ไม่ได้ค่ะ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น "เริ่มต้น" คือ อะไร?
คุณฟองจันทร์ "ฟัง" ค่ะ ท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ ไปโรงเรียนนี่ ไปทำอะไรคะ?
คุณฟองจันทร์ เรียนหนังสือค่ะ
ท่านอาจารย์ ค่ะ เรียนยังไง?
คุณฟองจันทร์ "ฟัง" ค่ะ (หัวเราะ)
ท่านอาจารย์ ทุกอย่าง พ้นการ "ฟัง" ไม่ได้ค่ะ
กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ขออนุโมทนาในกุศลทุกประการของท่านเจ้าของบ้าน คุณสมศักดิ์ คุณวรรณวิไล เชาวน์ธาดาพงศ์ ในกุศลเจตนาที่ยิ่งใหญ่ ให้สถานที่เพื่อฟังพระธรรม พร้อมทั้งจัดเตรียมทุกสิ่งด้วยความประณีตโอฬาร อย่างยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น"...สิ่งที่มีตั้งแต่เกิดจนตาย ก็ไม่สามารถที่จะติดตามไปได้เลย
แม้เพียงเมื่อวานนี้ ก็ไม่เหลือ แม้เพียงเมื่อกี้นี้ ก็ไม่เหลือ
เพราะฉะนั้น ถ้ามีการเข้าใจ "ความจริง" อย่างนี้
ก็จะเห็นประโยชน์ของการเกิดมาแล้ว อะไรจะเป็นประโยชน์ที่สุด ...ประโยชน์ที่สุด คือความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่า "ปัญญา" ..."กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณสมศักดิ์ - คุณวรรณวิไล เชาว์ธาดาพงษ์ขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัย และ ทุกๆ ท่านครับ
ขออนุโมทนากับคุณสมศักดิ์และคุณวรรณวิไล ท่านเจ้าของบ้านที่ท่านได้มอบความ
สดชื่นให้แด่ผู้ที่มาเยือน จะเห็นได้ว่าท่านตกแต่งบ้านได้น่าอยู่และน่าเยือนมากครับ
ขนาดผมชมเพียงภาพยังสัมผัสได้ถึงความเป็นสัปปายะอย่างมากของสถานที่ครับ
และ ขออนุโมทนากับคุณวันชัยด้วยครับ ที่ได้คัดเลือก ตกแต่งภาพสวยๆ มาให้
ได้ชื่นชมกันครับ ไอเดียเก๋มากครับโดยเฉพาะภาพคาถาธรรมบท
บุคคลใด เป็นผู้ฉลาดและกล้าหาญ เป็นผู้สดับมาก และทรงจำธรรม
เป็นผู้ประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรม บุคคลเช่นนั้นนั่น เรียกว่า
ผู้ยังหมู่ให้งาม
ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา เป็นผู้มีศรัทธา สมบูรณ์ด้วยศีล
เป็นพหูสูต บุคคลเหล่านี้แลยังหมู่ให้งาม
บุคคลเหล่านี้เป็น สังฆโสภณ (ผู้ยังหมู่ให้งาม) แท้จริง.
จาก...อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต สังฆโสภณสูตร ที่ ๗
" ความจริง ความดี ความงาม "
เพียง ๓ คำ นำไปสู่ประเด็นแห่งธรรมที่มีประโยชน์มหาศาล
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของท่านเจ้าของบ้านทั้ง ๒ ท่านขอขอบพระคุณความเอื้อเฟื้อภาพสวยๆ และข้อความธรรมะซึ่งบรรจงถอดและตกแต่งสีสันให้อ่านด้วยดีด้วยความพากเพียร ด้วยกุศลวิริยะของคุณวันชัยและขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยครับ