การกำจัดโมหะในปฏิจจสมุปบาท
เรียนท่านวิทยากรบ้านธัมมะทุกท่าน
ดิฉันมีคำถามเกี่ยวกับธัมมะดังนี้
๑. ในปฏิจจสมุปบาทนั้น อวิชชา ที่เป็นปัจจัยของสังขารนั้น เป็นเรื่องชาติในอดีตหรือปัจจุบัน
๒.ตัณหานั้นเป็น เรื่องของชาติปัจจุบันหรือชาติอดีต เพราะ วงจรเวียนว่ายตายเกิดเกิดแล้วตาย ทำให้งงในทั้งสองอย่างนี้
๓. ในชาติปัจจุบัน การลดและออกจากสังสารวัฎฎตามวงจรปฏิจจสมุปบาทนี้ คือการฟังธัมมะให้เข้าใจ ตามสิ่งทั่เกิดขึ้นตามเป็นจริงอย่างที่อาจารย์สุจินต์สอนเสมอนั้น แล้วจะออกจากสังสารวัฏฏ์กได้อย่างไร โปรดอธิบายด้วย หรืออ้างอิงพระไตรปิฎกที่ทำให้กระจ่างขึ้นได้
๔.ดิฉันเข้าใจว่า คนเรานั้นเป็นสุคติอเหตุกะบุคคล และต้องสิกขาธัมมจนจะไปสู่โลกุต-ตรบุคคล นั้น ขอถามว่า เข้าใจถูกต้องไหมคะ และเราต้องฟังธัมม และพัฒนาจากสุคติ-อเหตุกะบุคคล ไปสู่ ชั้นทวิเหตุกะบุคคลก่อน หรือสามารถกระโดข้ามขั้นตอนไปสู่ โลกุตตรบุคคลได้เลย (หมายถึงคนธรรมดาที่ฟังธัมเรียนธัมในยุคหลังกึ่งพุทธกาลแบบชาวบ้านธัมมะนี้)
๔. ท้ายนี้ดิฉันยังไม่กระจ่างว่าฟังธัมม ให้เข้าใจสภาพธรรมตามความจริงที่ปรากฏเป็นอย่างไรเลย ทุกครั้ง ได้ฟัง ประโยคนี้ดิฉันสงสัยเสมอว่า ดิฉันเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริงที่ปรากฏหรือไม่ หรือว่า จิตขั้นใดจึงสามารถฟังได้แบบนี้ แต่ดิฉันก็เข้าใจว่า วิทยากรหลายท่านจะบอกว่าให้ฟังธัมมของอาจารย์สุจินต์บ่อยๆ เนืองๆ แล้วจะรู้เอง เช่นนั้นหรือ จึงขอเรียนท่านวิทยากร ช่วยอธิบายสภาพจิตใจที่ฟังธัมมแล้วเข้าใจตามสภาพความเป็นจริงที่ปรากฎ (ใช่ฟังแล้วไม่สงสัยและคิดตามได้แล้วจิตยอมรับว่าใช่ๆ ๆ ๆ อะไรอย่างนั้นหรือไม่คะ)
ท้ายนี้ขออนุโมทนาท่านวิทยากรทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
สาธุ สาธุ สาธุ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ปฏิจจสมุปบาท เป็นธรรมที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ เพราะเหตุว่าพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง ไม่ว่าจะโดยนัยของขันธ์ ธาตุ อายตนะ ปฏิจจสมุปบาท ก็คือ สภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ปฏิจจสมุปบาท หมายถึง ธรรมที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้นพร้อม คือ สภาพธรรมนี้มีสภาพธรรมนี้จึงมี สภาพธรรมนี้เกิด สภาพธรรมนี้จึงเกิด
- อวิชชา เป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้ตามความเป็นจริง จะเห็นได้ว่าอวิชชาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันชาตินี้ซึ่งมีมากเป็นอย่างยิ่งนั้น มาจากไหน ถ้าไม่เคยมี ไม่เคยเกิดสะสมมาอย่างเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์ ที่ยังเกิดในภพต่างๆ ก็เพราะยังมีอวิชชาอยู่นี้เองผู้ที่ดับอวิชชาได้อย่างเด็ดขาดไม่เกิดอีกเลย มีเพียงพระอรหันต์เท่านั้น
- ตัณหาหรือโลภะ เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นสภาพธรรมที่ติดข้องยินดีพอใจในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจชีวิตประจำวันตัณหาหรือโลภะ เกิดขึ้นมาก ติดข้องเป็นไปอย่างรวดเร็ว ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะสะสมโลภะมานาน ยังมีพืชเชื้อของโลภะอยู่นั่นเอง
- การดับวงจรของสังสารวัฏฏ์ นั้น เป็นเรื่องของปัญญา ถ้าไม่มีปัญญาแล้ว ที่จะไปถึงซึ่งการดับกิเลสสิ้นทุกข์ในวัฏฏะไม่มีการเกิดอีกเลย ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ บุคคลผู้ที่รู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ สูงสุดคือ ถึงความเป็นพระอรหันต์ ต้องอาศัยการอบรมเจริญปัญญา จากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง ซึ่งจะต้องอาศัยการสะสมอบรมเจริญปัญญาเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน ผู้ที่ดับวงจรของสังสารวัฏฏ์ได้ คือ พระอรหันต์ เป็นผู้ห่างไกลจากกิเลสโดยประการทั้งปวงมีอวิชชา เป็นต้น ซึ่งมีแสดงไว้อย่างมากมายในพระไตรปิฎก ทั้งหมดเป็นเรื่องของปัญญา
- ก่อนอื่นต้องทราบก่อนว่า อเหตุกบุคคลคือใคร ทวิเหตุกบุคคลคือใคร และ ติเหตุกบุคคล คือ ใคร? อเหตุกบุคคล คือ ผู้ทีปฏิสนธิโดยที่ไม่มีเหตุใดๆ เกิดร่วมด้วยเลยไม่มีอโลภะ อโทสะ และ ปัญญาเกิดร่วมด้วย เป็นผู้พิการ บ้าใบ้บอดหนวกตั้งแต่กำเนิด กุศลจิตสามารถเกิดได้ในชีวิตประจำวัน, ทวิเหตุกบุคคล คือ ผู้ปฏิสนธิด้วยเหตุ ๒ คืออโลภเหตุ กับ อโทสเหตุ ไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วย บุคคลประเภทนี้ไม่สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมในชาตินั้น แต่สามารถสะสมอบรมเจริญปัญญาต่อไปได้ส่วนติเหตุกบุคคล คือ ผู้ปฏิสนธิด้วยเหตุ ๓ คือ อโลภเหตุ อโทสเหตุ และ อโมหเหตุ คือ ปัญญา บุคคลประเภทนี้สามารถอบรมเจริญปัญญาถึงขั้นรู้แจ้งอริยสัจจธรรมในชาตินั้นได้ แต่ไม่เสมอไป เช่น ท่านพระเทวทัต ปฏิสนธิด้วยเหตุ ๓ แต่เป็นผู้ถูกลาภสักการะครอบงำ กระทำอนันตริยกรรม ไปเกิดในอเวจีมหานรก เราไม่สามารถทราบได้ว่าเราปฏิสนธิประกอบด้วยเหตุ ๒ หรือ เหตุ ๓ แต่เมื่อมีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา ก็ไม่ควรจะปล่อยโอกาสนั้นให้ล่วงเลยไป ควรอย่างยิ่งที่จะสะสมปัญญาต่อไป
- ความเข้าใจถูกเห็นถูก ไม่ได้เจริญขึ้นในทันทีทันใด ต้องอาศัยความอดทนที่จะฟัง ที่จะศึกษาพระธรรมต่อไป เมื่อยังไม่เข้าใจ ก็จะต้องฟังต่อไป ค่อยๆ สะสมไปทีละเล็กทีละน้อย ที่สำคัญที่สุด คือ ไม่ขาดการฟังพระธรรม ครับ
ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ ครับ
ขอคำอธิบายถึงการเห็นแต่ละครั้งเชื่อมโยงกับปฏิจจสมุปบาท
ขันธ์ 5 จิต เจตสิก รูป ปฏิจจสมุปบาท
...ขอออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอให้คุณ homenumber5 รับฟังธรรมะต่อไปให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้นครับ
ฟัง พิจารณา ไตร่ตรองเหตุผลของพระธรรมที่ฟัง จนกว่าจะเกิดความเห็นถูกทีละเล็กทีละน้อย เมื่อปัญญาค่อยๆ เจริญขึ้น ปัญญาก็จะทำกิจรู้สภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง แล้วก็ละคลายความไม่รู้ ความสงสัย และอกุศลต่างๆ ลง ปัญญาระดับใดก็ทำกิจของปัญญาระดับนั้น เราทำอะไรกับสภาพธรรมไม่ได้ กิจรู้ถูกเป็นกิจของปัญญา ปัญญาขั้นฟัง ฟังเพื่อเข้าใจธรรมที่ได้ฟังอย่างค่อยเป็นไปค่อยไป เมื่อเข้าใจก็จะหายห่วงในเรื่องที่ยังไม่ได้ฟัง เพราะฟังเพื่อเข้าใจเท่านั้น ถ้าเข้าใจขึ้นเมื่อไร ความพะวงกับเรื่องที่ยังไม่เข้าใจก็จะค่อยๆ น้อยลงครับ
คุณสามารถอ่านคำตอบได้ในความเห็นที่ 1และอ่าน Link ที่มีให้ จะช่วยให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้นในธรรมะที่ยังไม่เข้าใจแจ่มแจ้งแต่จะแจ่มแจ้งทันทีไม่ได้ เพราะพระธรรมเป็นของยาก จะเข้าใจแจ่มแจ้งจริงๆ ก็ต่อเมื่อปัญญาถึงระดับที่รู้แจ่มแจ้งแล้วเท่านั้น ต้องอบรมปัญญากันต่อไปครับ
ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณ khampan.a ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
จากคำถามที่ว่า
๑.ในปฏิจจสมุปบาทนั้น อวิชชา ที่เป็นปัจจัยของสังขารนั้น เป็นเรื่องชาติในอดีตหรือ ปัจจุบัน
อวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขาร ปฏิจจสมุปบาทเป็นเรื่องของปัจจัยต่างๆ อวิชชาเป็น ปัจจัยแก่สังขาร มีทั้งที่เป็นอดีตชาติและปัจจุบันชาติ ในอดีตชาติหมายความว่าเพราะมี ความไม่รู้ในอดีตจึงเป็นปัจจัยแก่สังขาร สังขารในที่นี้ไม่ได้หมายถึงร่างกาย แต่สังขาร คือสภาพธรรมที่ปรุงแต่งที่เป็นเจตนาอันเป็นไปในบุญ - บาป
เพราะฉะนั้นสังขารคือ การกระทำที่เป็นบุญและบาป อวิชชา ความไม่รู้จึงเป็นปัจจัยให้เกิดสังขารคือการทำบุญและบาป อวิชชาในอดีต เพราะความไม่รู้ในอดีตที่สะสมมาเป็นปัจจัย (ปกตูปนิสสยปัจจัย) เป็นปัจจัยให้ทำบุญและทำบาป เพราะไมรู้จึงทำบาป เพราะไม่รู้จึงทำบุญเพื่อหวังเพื่อเกิดในวัฏฏะ เวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น นี่คือนัยอวิชชาในอดีตเป็นปัจจัยเกิดสังขาร
อีกนัยหนึ่ง อวิชชาในปัจจุบันเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร ขณะที่ทำบาป (สังขารที่เป็น อปุญญาภิสังขาร) ขณะนั้นต้องมีอวิชชาหรือโมหเจตสิกเกิดร่วมด้วย อวิชชาจึงเป็น ปัจจัยแก่สังขารในปัจจุบันด้วยโดยปัจจัยที่เรียกว่า สหชาตปัจจัยคือธรรมที่เกิดพร้อมกัน อวิชชาหรือโมหเจตสิกเกิดพร้อมกันกับขณะที่ทำบาป อวิชชาในปัจจุบันเป็นปัจจัยให้ เกิดสังขารโดยปัจจัยอื่นอีกก็ได้ สัมปยุตปัจจัย เป็นต้น
เพราะฉะนั้นอวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร อวิชชานั้นจึงเป็นได้ทั้งอดีตและปัจจุบันครับ
๒.ตัณหานั้นเป็น เรื่องของชาติปัจจุบันหรือชาติอดีต เพราะ วงจรเวียนว่ายตายเกิดเกิดแล้วตาย ทำให้งงในทั้งสองอย่างนี้
ตัณหาเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน อุปาทานคือความยึดมั่นถือมั่นอย่างแรงกล้า ยึดมั่นในกามคือความชอบในสิ่งต่างๆ ยึดมั่นในข้อปฏิบัติผิด ยึดมั่นในความเห็นผิด ยึดมั่นในความเป็นเรา ตัณหาจึงเป็นไปทั้งอดีตชาติ คือเพราะมีความพอใจ ยินดีติดข้องในอดีตที่สะสมมาบ่อยๆ ในอดีต จึงทำให้มีกำลังมากให้เกิดอุปาทาน ความยึดมั่นอย่างแรงกล้าในสิ่งต่างๆ และ ตัณหาหรือโลภะยังเป็นปัจจุบันชาติด้วย ด้วยปัจจัยต่างๆ เช่นโดยการเกิดพร้อมกันคือ ขณะที่มีการยึดถือด้วยความเห็นผิดอย่างแรงกล้า (ทิฏฐุปาทาน) ขณะนั้นมีความยินดีพอใจหรือโลภะ (ตัณหา) เกิดร่วมด้วย (จิตที่เป็นโลภะที่มีคามเห็นผิด ทิฏฐิเจตสิกเกิดร่วมด้วย) ขณะนั้นก็มีโลภะเกิดร่วมด้วยพร้อมกันกับทิฏฐิเจตสิกที่เป็นอุปาทาน เพราะฉะนั้นโลภะหรือตัณหาจึงเป็นปัจจุบันชาติให้เกิดอุปาทานด้วยปัจจัย คือการเกิดพร้อมกัน เป็นต้น
๓. ในชาติปัจจุบัน การลดและออกจากสังสารวัฎฎตามวงจรปฏิจจสมุปบาทนี้ คือการฟัง ธัมมะให้เข้าใจ ตามสิ่งทั่เกิดขึ้นตามเป็นจริงอย่างที่อาจารย์สุจินต์สอนเสมอนั้น แล้วจะ ออกจากสังสารวัฏฏ์ได้อย่างไร โปรดอธิบายด้วย หรืออ้างอิงพระไตรปิฎกที่ทำให้ กระจ่างขึ้นได้
การออกจากสังสารวัฏฏ์คือการดับกิเลสจนหมด แต่กว่าจะถึงการดับกิเลสจนหมดก็ ต้องดับกิเลสเป็นลำดับ กิเลสที่จะต้องละก่อนคือการยึดถือว่าเป็นสัตว์ บุคคลตัวตน การ จะลกิเลสตัวนี้ได้ต้องด้วยการเจริญสติปัฏฐานหรืออริยมรรคมีองค์ 8 ซึ่งเหตุให้เกิดสติ ปัฏฐานคือการฟังธรรมให้เข้าใจในเรื่องของสภาพธรรมเพราฉะนั้นต้องเริ่มจากการฟังให้ เข้าใจ เมื่อเข้าใจปัญญาก็จะค่อยๆ เจริญขึ้นจนถึงในอนาคตที่สามารดับกิเลสได้ครับ ดัง พระไตรปิฎกที่ยกมาครับในเรื่องหนทางในการออกจากสังสารวัฏฏ์
[เล่มที่ 14] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 35
ว่าด้วยอัฏฐังคิกมรรค
ก็พรหมจรรย์ของเรานี้แล จึงจะเป็นไปเพื่อความเบื่อหน่ายโดยส่วนเดียว เพื่อ คลายกำหนัด เพื่อดับโดยไม่มีเหลือ เพื่อเข้าไปสงบ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อ พระนิพพาน. ก็แลพรหมจรรย์นั้นเป็นไปเพื่อความเบื่อหน่ายโดยส่วนเดียว เพื่อ ความคลายกำหนัด เพื่อดับโดยไม่มีเหลือ เพื่อเข้าไปสงบ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้เพื่อพระนิพพานเป็นไฉน
ทางประกอบด้วยองค์แปดอันประเสริฐนี้แล อันได้แก่ ความเห็นชอบ ความดำริชอบ พูดจาชอบ การงานชอบ อาชีพชอบ พยายามชอบ ระลึกชอบ ตั้งใจชอบ
ก็นี้แล คือพรหมจรรย์นั้น ที่เป็นไป เพื่อความเบื่อหน่ายโดยส่วนเดียว เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับโดยไม่มีเหลือ เพื่อเข้าไปสงบ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อพระนิพพาน.
๔. ดิฉันเข้าใจว่า คนเรานั้นเป็นสุคติอเหตุกะบุคคล และต้องสิกขาธัมมจนจะไปสู่โลกุตตรบุคคล นั้น ขอถามว่า เข้าใจถูกต้องไหมคะ และเราต้องฟังธรรม และพัฒนาจากสุคติ อเหตุกะบุคคล ไปสู่ ชั้นทวิเหตุกะบุคคลก่อน หรือสามารถกระโดข้ามขั้นตอนไปสู่ โลกุตตรบุคคลได้เลย (หมายถึงคนธรรมดาที่ฟังธัมเรียนธัมในยุคหลังกึ่งพุทธกาลแบบ ชาวบ้านธัมมะนี้)
การเกิดในสุคติภูมิไมได้เป็นตัวตัดสินว่าเป็นบุคคลประเภทใด แต่จะไม่เป็นอเหตุก บุคคลแน่นอนครับ ส่วนผู้ที่จะบรรลุธรรมหรืออบรมฌานได้จะต้องเป็นผู้ที่ปฏฺสนธิด้วย เหตุ 3 คือเป็นติเหตุกบุคคลเท่านั้น หากไม่ใช่แล้ว ไม่ว่าจะฟังธรรมเท่าไหร่ก็ไม่สามารถ บรรลุในชาตินั้นได้ ดังนั้นผู้ที่จะบรรลุธรรมในชาตินั้นจะต้องปฏิสนธิด้วยเหตุ 3 (ติเหตุก บุคคล) และได้ฟังธรรมจนเข้าใจครับ การจะก้าวไปสู่การบรรลุธรรมในชาตินี้โดยที่ไม่ได้ เกิดด้วยปฏิสนธิที่เป็นติเหตุกบุคคลจึงเป็นไปไม่ได้เลยครับ และแม้จะเป็นติเหตุกบุคคล ในชาตินี้แต่ไมได้ฟังธรรม หรือปัญญายังไม่แก่รอบพร้อมที่จะบรรลุแม้ได้ฟังก็ยังไม่บรรลุ
แต่เพราะอาศัยการฟังธรรม การเข้าใจธรรมในชาติปัจจุบันย่อมที่จะเป็นเหตุให้เกิดเป็น ติเหตุกบุคคลในชาติอื่นๆ และอบรมปัญญาจนสามารถบรรลุธรรมในอนาคตได้ครับ การฟังพระธรรม การศึกษาพระธรรมที่ถูกต้องจึงเกื้อกูลการบรรลุธรรมอย่างยิ่งครับ
๔. ท้ายนี้ดิฉันยังไม่กระจ่างว่าฟังธัมมะ ให้เข้าใจสภาพธรรมตามความจริงที่ปรากฏเป็นอย่างไรเลย ทุกครั้ง ได้ฟัง ประโยคนี้ดิฉันสงสัยเสมอว่า ดิฉันเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริงที่ปรากฏหรือไม่ หรือว่า จิตขั้นใดจึงสามารถฟังได้แบบนี้ แต่ดิฉันก็เข้าใจว่า วิทยากรหลายท่านจะบอกว่าให้ฟังธัมมของอาจารย์สุจินต์บ่อยๆ เนืองๆ แล้วจะรู้เอง เช่นนั้นหรือ จึงขอเรียนท่านวิทยากร ช่วยอธิบายสภาพจิตใจที่ฟงธัมมแล้วเข้าใจตามสภาพความเป็นจริงที่ปรากฎ (ใช่ฟังแล้วไม่สงสัยและคิดตามได้แล้วจิตยอมรับว่าใช่ๆ ๆ ๆ อะไรอย่างนั้นหรือไม่คะ)
การเข้าใจสภาพธรรมตาใมความเป็นจริงในขณะนี้คือ ขณะนี้มีสภาพธรรม เช่น เห็น ได้ยิน สิ่งที่ปรากฎทางตา คิดนึก เป็นต้น แต่เราเห็นเป็นสัตว์ บุคคล ไม่ได้เห็นเป็นแต่ เพียงธรรมที่เป็นเพียงสี เพียงสิ่งที่ปรากฎทางตา ยังเห็นเป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้ ยังยึดถือว่าเป็น คนนั้น สิ่งนั้นสิ่งนี้ เพราะฉะนั้นขณะที่สติปัฏฐานคือการระลึกสภาพธรรมที่ปรากฎใน ขณะนี้ ขณะนั้นก็จะเห็นเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฎทางตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์บุคคล ไม่ใช่ ขณะที่คิดนึก พิจารณาว่าไม่ใช่เรา แต่ต้องเป็นขณะที่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงใน
ขณะนี้ ขณะนั้นปัญาย่อมรู้ว่ามีแต่เพียงธรรมเท่านั้น ไม่มีสัตว์ บุคคลเลย
ซึ่งการจะถึง ปัญญาขั้นนี้ได้ก็ต้องอศัยการฟังธรรมในเรื่องของสภาพธรรมไปเรื่อยๆ ครับ
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขออนุโมทนา ท่านวิทยากร และทุกความเห็น ที่เป็นประโยชน์มากแก่ผู้ที่สิกขาธัมม ทั้ง ปวง
ขอสรุปว่า กามาวจรบุคคล ที่เป็น คน ที่มี จักขุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กาย โผฐทัพพะ ต้องใช้ อายตนะทั้ง หก นี้ มาสิกขาธัมมด้วยการฟังธัมม บ่อยๆ เนืองๆ เพื่อให้เข้าใจสภาพ ธรรมตามความเป็นจริงที่ปรากฏเพื่อสะสม องค์ธัมมเพื่อจะได้ มีเหตุ 3 อโลภะ อโทสะ อโมหะเหตุ ไปปฏิสนธิ เป็นติเหตุกะบุคคล เพื่อฟังธัมมจนเกิดปัญญา ปหาน กองกิเลส ด้วยมรรค ๘ และองค์ธัมมอื่นๆ เพื่อเป็นโลกุตรบุคคลตต่อไปในอีกกี่ชาติในอนาคต แล้วแต่ว่าท่านสะสมองค์ธัมมมาเพียงใด
สรุปเช่นนี้ได้ไหมคะ ขออนุโมทนา
เรียน ท่านความเห็นที่ 3 4 5 6 ข้อความที่ชี้แจงทำให้กระจ่างขึ้นมาก
ขอถามเพิ่มเติม
1. คน ที่มี อวัยวะครบถ้วนปกติ นี้ เรียกว่าเป็น บุคคลประเภทใด
2. คนแบบในข้อ 1 นี้ ถ้า ต้องการไปเข้าฌานนต้องอาศัย เหตุ 3ไปปฏิสนธิเท่านั้น จึงจะไปเข้าฌานได้ใช่หรือไม่
3. ถ้าคำตอบข้อ 3 นั้น ตอบว่าใช่ ผู้ที่ กล่าวว่าตนได้ฌาน สามหรือ ฌานสี่หรือ กำลังเข้า ฌาน ตามที่ต่างๆ พวกท่านเหล่านั้นเป็นติเหตุกบุคคลแล้วใช่ไหม ใช้เกณฑ์อะไรไปวัด ไปดูคะว่า ท่านใดเข้าฌานจริงไม่จริง เป็นติเหตุกบุคคลจริงไหม หรือไม่ใช่หน้าที่ของเรา เราเพียงแต่ฟังธรรม ไปเรื่อยๆ ก็พอ
ขอ กราบขออภัยหากคำถามจะไปละเมิด หรือ เป็นการไม่สมควรต่อพระธรรมวินัย ถามเพราะปรารถนา ความรู้จริงๆ ค่ะ
เรียนความเห็นที่ 7
ใช่ครับ การได้เกิดเป็นมนุษย์เป็นสิ่งที่ยาก การได้มีอวัยวะครบส่วนก็ยาก การอุบิติขึ้น ของพระพุทธเจ้าก็ยากและการได้ฟังพระธรรมก็ยาก เมื่อเราได้พร้อมซึ่งขณะเหล่านี้แล้ว จึงควรฟังพระธรรม อบรมปัญญาต่อไป ความเข้าใจทีละเล็กละน้อยนี้เองจะเป็นปัจจัยให้ เข้าใจความจริงของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ เมื่อเข้าใจความจริงในขณะนี้ย่อมเป็น เหตุปัจจัยให้ละกิเลสเป็นลำดับในอนาคต จนสามารถดับกิเลสได้หมดได้ครับ ความ เข้าใจธรรมนั่นเอง เป็นกุศลธรรมที่ประกอบด้วยปัญญา เมื่อกุศลกรรมนี้ให้ผล ย่อมทำให้ เป็นผู้เกิดด้วยปฏิสนธิที่มีเหตุ 3 (ติเหตุกบุคคล) ได้ และย่อมทำให้เกิดในประเทศที่ สมควรคือประเทศที่มีพระพุทธศาสนา ได้พบสัตบุรุษ ได้ฟังพระธรรมในหนทางที่ถูก เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมในขณะนี้ เมื่อเกิดความเข้าใจ ย่อมเป็นเหตุปัจจัยตามที่ กล่าวมาข้างต้นครับ
ขออนุโมทนาด้วยนะครับ
เรียนความเห็นที่ 8
1. คนที่มีอวัยวะครบถ้วนปกติ นี้ เรียกว่าเป็น บุคคลประเภทใด
มนุษย์ที่มีอวัยวะครบถ้วน รวมทั้งไม่บ้าใบ้ บอด หนวก เป็นผู้ปฏิสนธิด้วยเหตุ 2 คือทวิ-เหตุกบุคคลก็ได้ รวมทั้งอาจจะเป็นติเหตุกบุคคลก็ได้ แต่ไม่ใช่ อเหตุกบุคคลแน่นอน
2. คนแบบในข้อ1 นี้ ถ้าต้องการไปเข้าฌนนต้องอาศัย เหตุ 3 ไปปฏิสนธิเท่านั้น จึงจะไปเข้าฌานได้ใช่หรือไม่คะ
ถูกต้องครับ ผู้ที่จะได้ถึงฌานต้องปฏฺสนธิด้วยเหตุ 3 เท่านั้นครับ
3. ถ้าคำตอบข้อ 3 นั้น ตอบว่าใช่ ผู้ที่ กล่าวว่าตนได้ฌาน สามหรือ ฌานสี่หรือ กำลัง เข้าฌา น ตามที่ต่างๆ พวกท่านเหล่านั้นเป็นติเหตุกบุคคลแล้วใช่ไหม ใช้เกณฑ์อะไรไป วัด ไปดูคะว่า ท่านใดเข้าฌานจริงไม่จริง เป็นติเหตุกบุคคลจริงไหม หรือไม่ใช่หน้าที่ ของเรา เราเพียงแต่ฟังธรรม ไปเรื่อยๆ ก็พอ ขอกราบขออภัยหากคำถามจะไปละเมิด หรือ เป็นการไม่สมควรต่อพระธรรมวินัย ถามเพราะปรารถนา ความรู้จริงๆ ค่ะ
ผู้ที่ได้ฌานจะต้องปฏิสนธิด้วยเหตุ 3 เป็นติเหตุกบุคคลเท่านั้นครับ ซึ่งการจะรู้ว่า บุคคลได้ฌานจริงหรือไม่ บุคคลนั้นก็ต้องมีปัญญารู้วาระจิตของบุคคลที่ได้ฌาน
และที่ สำคัญที่สุด การสนทนาซักถามถึงข้อปฏฺบัติในการเจริญฌาน ว่าที่เขาจะได้ฌานนั้น ข้อปฏิบัติของเขาคืออย่างไร ตรงตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดงหรือไม่ ไม่ใช่เพียงแต่เชื่อในสิ่งที่บอก เพราะทุกอย่างเป็นเรื่องของปัญญาครับ
กราบเรียนท่าความเห็นที่ 10
ในคำตอบของคำถามที่ ๑ ว่า มนุษย์ที่ไม่บ้าใบ้หูหนวก นั้น เป็น ทวิเหตุกะบุคคล ตามที่ดิฉันทราบมานั้น เทวดาบางชั้นท่านก็เป็น ทวิเหตุกะบุคคล ด้วย ข้อนี้ถามว่า ถูกต้องหรือไม่คะ คำถามข้อที่ ๕ (ต่อจากคำถามในความเห็นที่ 1)
๕.๑ เรื่องมนุษย์ หากว่าเขาไม่บ้าใบ้หูหนวก แต่มิได้มาพบพระธัมม เขานั้นเป็นทวิเหตุ บุคคลหรือไม่คะ
๕.๒ เทวดาที่ปฏิสนธิด้วยทวิเหตุนั้น ในกาลปัจจุบัน ท่านจะฟัง ธรรมได้ไหมหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว หากฟังธัมมได้ ท่านจะสามารถบรรลุธัมมได้ไหม คำถามข้อที่ ๖ พรหมในชั้น รูปพรหม ทั้ง 16 ชั้น ในเวลาหลังพระ- ปรินิพพานนั้น ท่านสามารถจะบรรลุธัมมเป็นโลกุตรบุคคได้ไหม ท่านต้องมีวัตรอย่างไร อะไร ข้อนี้มีในพระไตรปิฏกไหมคะ ว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนสั่งว่าอย่างไรคะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
เรียนความเห็นที่ 12 จากคำถามที่ว่า
มนุษย์ที่ไม่บ้าใบ้หูหนวก นั้นเป็น ทวิเหตุกะบุคคล ตามที่ดิฉันทราบมา นั้น เทวดาบางชั้นท่านก็เป็น ทวิเหตุกะบุคคลด้วย ข้อนี้ถามว่า ถูกต้องหรือไม่คะ
ถูกต้องครับ เทวดาบางพวกก็เป็นทวิเหตุกบุคคลด้วยครับ
เรื่องมนุษย์ หากว่าเขาไม่บ้าใบ้หูหนวก แต่มิได้มาพบพระธัมม เขานั้นเป็นทวิเหตุบุคคลหรือไม่คะ
ไม่จำเป็นครับ การได้พบหรือไม่ได้พบพระสัทธรรม ไม่ใช่ตัวตัดสินว่าเป็นทวิเหตุก บุคคลหรือเป็นติเหตุกบุคคลครับ การที่บุคคลใดไม่ได้พบพระสัทธรรมเป็นทวิเหตุก บุคคลก็ได้หรือเป็นติเหตุกบุคคลก็ได้ครับ ยกตัวอย่างเช่น ท่านอุทกดาบสและ อาฬารดาบส ท่านได้ฌานขั้นสูงสุด เป็นติเหตุกบุคคลแน่นอนเพราะได้ฌานแต่ท่านไม่ ได้พบพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้เพราะท่านสิ้นชีวิตไปก่อน
ซึ่งพระพุทธเจ้าเมื่อ แรกตรัสรู้ก็ทรงพระดำริว่าเราจะโปรดอุทกดาบสและอาฬารดาบสก่อนเพราะเขาสามารถ ตรัสรู้ธรรมได้ แต่เขาทั้งสองสิ้นชีวิตแล้ว จึงไม่สามารถโปรดได้ ท่านเป็นติเหตุกบุคคล แม้ไมได้ฟังพระสัทธรรมครับ และอีกนัยหนึ่ง บางคนได้พบพระสัทธรรม แต่เป็นอเหตุก- บุคคลก็ได้ เป็นทวิเหตุกบุคคลก็ได้ซึ่งไมสามารถบรรลุได้ในชาตินั้นแต่พอฟังพระธรรม เข้าใจได้บ้างครับ เช่น นาคราช ฟังธรรมขอถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งแต่ไม่บรรลุ แม้ได้ ฟังพระธรรมเพราะตัวเองปฏิสนธิด้วยอเหตุกบุคคล เป็นสัตว์เดรัจฉานนั่นเอง
เพราะ ฉะนั้นการได้ฟัหรือได้พบหรือไม่ได้พบพระสัทธรรมไม่ใช่ตัวตัดสินว่าบุคคลจะเป็นบุคคล ประเภทใดครับ
เทวดาที่ปฏิสนธิด้วยทวิเหตุนั้น ในกาลปัจจุบัน ท่าน จะฟังธัมมได้ไหมหลังจาก พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว แล้วหากฟังธัมมได้ ท่านจะสามารถบรรลุธัมมะได้ไหม
หากเราเอาสมมติคือความเป็นเทวดาออกไป ใครก็ตามที่ไม่ได้ปฏิสนธิที่ประกอบด้วย เหตุ 3 หรือเป็นติเหตุกบุคคลจะไม่มีทางบรรลุเลย ไม่ว่าจะฟังธรรมมากแค่ไหนก็ตาม เพราะฉะนั้นหากเป็นทวิเหตุกบุคคล อเหตุกบุคคลจะไม่มีทางบรรลุเลยในชาตินั้นครับ
พรหมในชั้น รูปพรหม ทั้ง 16 ชั้น ในเวลาหลังพระปรินิพพานนั้น ท่าน สามารถจะบรรลุ ธัมมเป็นโลกุตรบุคคได้ไหม ท่านต้องมีวัตรอย่างไร อะไร ข้อนี้มีในพระไตรปิฏกไหมคะ ว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนสั่งว่าอย่างไรคะ
พรหมสามาถบรรลุธรรมได้หลังพระพุทธเจ้าปรินิพพาน หากได้ฟังพระธรรมบนพรหม โลกและปัญญาแก่กล้าพร้อมตรัสรู้ครับ เพราะหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วก็ยังมีพระ อริยบุคลอยู่ที่พรหมโลกมากมาย มีการฟังธรรม จึงสามารถบรรลุในพรหมโลกได้ครับ เว้นพรหมบางพวกที่เกิดในอสัญญสัตตาพรหมที่มีแต่รูปไม่มีนามเลย จึงไม่สามารถเจริญ ปัญญา รู้ความจริงสองอย่างที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมได้ จึงไม่มีการบรรลุในพรหม โลกชั้นนี้ครับ รวมทั้งอรูปพรหมที่ไม่มีรูป มีแต่นาม หากยังไม่ใช่พระอริยบุคคล จะบรรลุ ธรรมไม่ได้เพราะไม่มีรูปธรรมให้รู้ตามความเป็นจริงครับ
ส่วนข้อวัตรปฏิบัติในพรหมโลกเพื่อที่จะบรรลุธรรม พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่าทาง สายเอกที่สัตว์ทั้งหลายจะดับกิเลสได้มีหนทางเดียวคือสติปัฏฐาน 4 หรือ อริยมรรคมี องค์แปด นั่นก็คือการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่ เราครับ นี่คือหนทางไม่ว่ามนุษย์ เทวดา พรหมจะต้องดำเนินตามหนทางนี้ทั้งหมด ไม่ แตกต่างกันเลยครับ ในคราวที่พระพุทธเจ้าแสดงธัมมจักรกัปปวตนสูตรให้ท่านพระอัญ ญาโกณทัญญะฟังและได้บรรลุ พรหมจำนวน สิบแปดโกฏิก็ได้บรรลุเหมือนกันด้วยพระธรรมเทศนาเดียวกัน ที่แสดงให้หลีกเลี่ยงทางสุดโต่งสองอย่างและให้อบรมทางสาย กลางนั่นก็คือสติปัฏฐานสี่หรืออริยมรรคมีองค์แปดนั่นเองครับ
ขออนุโมทนา
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์