ลืมความเข้าใจธรรม...ตอน ๓ เร่งรีบหรือไม่เร่งรีบก็เป็นธรรมะ
ในชีวิตประจำวันมีธรรมะปรากฏอยู่ตลอดเวลา แต่ด้วยความไม่รู้ ไม่ได้ฟังพระธรรม
จึงยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นเรา เป็นสัตว์ เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง แต่เมื่อได้ฟัง ได้
ศึกษา ได้พิจารณาพระธรรม ก็จะเริ่มเข้าใจสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏเพิ่มขึ้นทีละน้อยๆ
แต่ด้วยความลึกซึ้ง ความละเอียดของธรรมะ ซึ่งรู้ตามได้ยาก เห็นตามได้ยาก บัณฑิต
เท่านั้นพึงรู้ได้ หากไม่ใช่บัณฑิตอย่าง ท่านอาจารย์สุจินต์ ที่คอยชี้หนทางแนวทาง
การอบรมเจริญสติปัฏฐานให้ เราจะไม่มีความเข้าใจถึงพระธรรมที่ลึกซึ้ง สุขุมลุ่มลึก
ได้เลย สำหรับเราก็จะลึม ความเข้าใจธรรมอยู่เสมอๆ ซึ่งบางครั้งในชีวิตปรำจำวัน
เราก็มีความเข้าใจว่า สภาพธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง กำลังปรากฏแล้วดับไปอยู่ตลอดเวลา
ไม่พ้นจาก เห็น ได้ยิน...และคิดนึก จึงฟังแล้วฟังอีกเพื่ออบรมความเข้าใจในสิ่งที่กำลัง
มียิ่งๆ ขึ้น แต่.. บางครั้งรู้สึกว่าไม่มีความเร่งรีบที่จะฟังพระธรรมเลย บางครั้งก็เกิดคิด
เร่งรีบที่จะฟังพระธรรม แต่ก็ลืมความละเอียดของธรรมะ เพราะแม้ขณะที่คิดเร่งรีบ หรือ
ไม่เร่งรีบ ก็เป็นจิตที่คิดที่จะเร่งรีบ หรือไม่เร่งรีบ จิตที่คิดมีจริง เป็นธรรมะ ซึ่งเกิด
เพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่เรา แม้ขณะที่คิดเร่งรีบ เร่งความเพียร ก็เป็นเราที่เร่งรีบ
ที่เพียร และแม้ขณะที่คิดจะไม่เร่งรีบ สบายๆ ก็ยังเป็นเรา
ลืมความเข้าใจธรรม...เร่งรีบหรือไม่เร่งรีบก็เป็นธรรมะ
ควรที่จะอบรมความเข้าใจในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏว่า เป็นธรรมะ เป็นสิ่งที่มี
จริง ไม่ใช่เรา ทุกอย่างที่กำลังปรากฏเป็นธรรมะ เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัยทั้งสิ้น...
....ขออนุโมทนาค่ะ...
คิดเร่งรีบ - คิดไม่เร่งรีบ ก็คือ นามธรรมที่คิด เกิดเพราะอาศัยเหตุปัจจัยและการสะสมถ้าไม่มีการเกิดขึ้นของจิตคิด จะมีความเห็นว่า เร่งรีบ - ไม่เร่งรีบ มาจากไหนแต่คิดเกิดแล้ว อวิชชาไม่รู้ว่าคิดเป็นธรรม ทิฏฐิเห็นผิดว่าคิดเป็นเราจึงต้องฟังพระธรรมเพื่อให้เข้าใจสิ่งที่มีจริง ที่กำลังเกิดปรากฏจนกว่าจะเห็นถูกในสภาพธรรมที่ปรากฏนั้นตามความเป็นจริงว่าแม้คิด ก็เป็นธรรมะ แต่จะรู้จักคิดได้จริง ต้องรู้ด้วยปัญญาอีกระดับหนึ่งคือ ปัญญาที่กำลังรู้ตรงในลักษณะของคิด ในขณะที่คิดกำลังปรากฏครับ
ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาพี่เมตตาด้วยครับ
คิดเร่งรีบ - คิดไม่เร่งรีบ ก็เป็นไปตามการสะสมของแต่ละคนนะคะ
เรื่องของการสะสมเนี่ยเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากๆ สำหรับตัวเอง เมื่อก่อนนี้คุณวีระยุทธเค้าก็จะใช้คำนี้บ่อยๆ และอีกคำหนึ่งก็คิอเหตุปัจจัย ตัวเองเคยคิดแย้งว่า แหมอะไรๆ ก็โยนไปให้การสะสมแล้วก็เหตุปัจจัย ฟังดูแล้วมันง่ายเกินไปหรือปล่าว?
แต่แท้ที่จริงแล้วคำสองคำที่พระพุทธองค์ได้แสดงไว้แล้วนี้ เป็นจริงอย่างที่สุด และไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้เลย หากเราพิจารณาให้ดีๆ แล้ว แต่ละคนก็เป็นแต่ละหนึ่งตามการสะสมจริงๆ ใครจะคิดยังไง ใครจะทำยังไง ใครจะพูดยังไง ก็เป็นไปตามการสะสมและเหตุปัจจัยจริงๆ
ขออนุโมทนาค่ะ