กลิ่นธูปคือกลิ่นคนตายมาหาใช่ไหม?
ผู้คนพูดกันมาก พูดกันมานานว่าพอคนโน้น คนนี้ตายไปใหม่ๆ คนที่เป็นลูกเป็นหลาน หรือคนที่สนิทสนมคุ้นเคยกันมักจะได้กลิ่นธูปที่โน้นบ้างที่นี้บ้างตามที่ที่คนตายเคยอยู่บ้าง หรือตามสถานที่ที่ลูกหลาน หรือคนที่สนิทสนมคุ้นเคยกัน คนที่ได้กลิ่นธูปก็จะเข้าใจว่า คนตายมาหา คนตายจะกลับเข้าบ้านที่เคยอยู่บ้าง คนตายเป็นห่วงลูกหลานบ้าง ผมขอถามว่า1. กลิ่นธูปที่เกิดขึ้นกับคนที่เป็นลูกเป็นหลานหรือคนที่สนิทสนมคุ้นเคยกับผู้ตายนั้น เกิดขึ้นได้อย่างไร?2. การที่ได้กลิ่นธูปนั้น แสดงว่าผู้ตายมาหาใช่ไหม?
ขอนอบน้อมแด่พระผู้พระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตามความเป็นจริงแล้ว แต่ละคนเกิดมาแล้วก็ต้องตายด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครรอดพ้นไปได้เลย เมื่อตายไปแล้ว ตราบใดที่ยังเป็นผู้มีกิเลสก็ยังต้องเกิดอีก ขึ้นอยู่กับว่าจะเกิดเป็นอะไร ในภพใด ตามสมควรแก่กรรมที่ได้กระทำแล้ว ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม ก็ทำให้เกิดในอบายภูมิ เป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย หรือ เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ถ้าเป็นผลของกุศลกรรมก็ทำให้เกิดเป็นมนุษย์หรือเป็นเทวดา การได้กลิ่นธูป ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นผู้ที่ตายไปแล้ว มาหา (เพราะโดยปกติก็ได้กลิ่นธูปอยู่บ้างในชีวิตประจำวัน) เพราะเราไม่สามารถรู้ได้ว่าเขาไปเกิด ณ ที่ใด ส่วนมากก็เป็นเรื่องของความคิดของตนเองเท่านั้นว่าผู้ตายมาหา ถึงแม้ว่าจะมาหรือไม่มาให้เห็น
แต่สิ่งที่ควรทำที่สุด คือ ทำบุญอุทิศไปให้ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วถ้ากุศลจิตเกิดอนุโมทนาในกุศลที่เราได้กระทำ และอีกประการหนึ่ง ที่ควรพิจารณาจริงๆ คือ ในที่สุดแล้ว เราก็จะต้องตายเหมือนกับผู้ที่ตายไปแล้วนั่นแหละ ดังนั้น กิจที่ควรทำก่อนที่วันนั้นจะมาถึง คือ ไม่ประมาทในการศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา และไม่ประมาทในการเจริญกุศลสะสมเป็นเสบียงเดินทางต่อไปในสังสารวัฏฏ์ ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ชีวิตประจำวัน มีเรื่องที่ชวนให้เราเกิดความสงสัยมากมาย แต่เมื่อไม่สามารถจะพิสูจน์ได้เพราะไม่ได้เห็นด้วยตาของผู้รับฟัง ก็เป็นแต่เพียงเรื่องราวที่ได้ฟังตามๆ กันมา หาก สิ่งนั้นไม่ได้เกิดกับตน ก็เป็นเรื่องที่ไกลตัวและสุดวิสัย ถึงเกิดกับตนจริงๆ ก็ไม่ทำให้ละคลายกิเลสอะไร เพราะเรื่องนั้นไม่เป็นเหตุให้เกิดปัญญา ฉะนั้น ความรู้ความเข้าใจถูกในสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏในชีวิตประจำวัน จึงเป็นสิ่งที่ควรจะศึกษายิ่งกว่า เพราะเป็นประโยชน์สูงสุดในชีวิต ช่วยดึงเราให้ออกจากความไม่มีเหตุผล และ ความงมงายดังนั้น ควรเริ่มต้นอบรมความเข้าใจสิ่งที่มีจริง ด้วยการฟัง การศึกษาธรรมให้เข้าใจ จนเป็นปัญญาของเราเองครับ เมื่อถึงความสมบูรณ์ของปัญญาจริงๆ เราก็จะไม่ต้องเชื่อใครอีก นอกจากเชื่อในสัจจะที่ได้รู้ด้วยปัญญาของตน ว่าสิ่งที่มีจริง เป็นจริงอย่างนั้นไม่เป็นอย่างอื่น ตรงตามพระธรรมที่พระองค์ทรงพระมหากรุณาแสดงไว้ทุกประการ
ในพระไตรปิฏกก็มีแสดงไว้ คนที่ตายไปแล้ว ถ้าเขาเกิดเป็นมนุษย์เขาก็มาหาเราไม่ได้ ถ้าเขาเกิดเป็นเทวดา หรือเป็นเปรต เขาก็สามารถมาหาญาติ พี่น้องได้ ขึ้นอยู่กับว่า เขามาเพื่อสงเคราะห์ญาติ หรือมาเพื่อขอส่วนบุญ เช่น เทพบุตรมัฏฐกุณฑลี มาเพื่อ เกื้อกูลบิดา แต่ถ้าเป็นเปรต ส่วนใหญ่มาเพื่อขอส่วนบุญ ให้ญาติทำบุญอุทิศไปให้ค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
1. กลิ่นธูปที่เกิดขึ้นกับคนที่เป็นลูกเป็นหลานหรือคนที่สนิทสนมคุ้นเคยกับผู้ตายนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร?
การได้กลิ่นธูปเกิดขึ้นได้เพราะเหตุปัจจัย ด้วยเหตุหลายๆ ประการ ที่สำคัญเราจะ ต้องเข้าใจครับว่าทำไมใครถึงไม่ได้กลิ่นธูป ใครได้กลิ่นธูปเพราะอะไร เหตุปัจจัยอะไร ที่ทำให้บางคนได้กลิ่น บางคนไม่ได้กลิ่น
เหตุที่บางคนได้กลิ่น พระพุทธเจ้าทรงแสดงเหตุตามความเป็นจริงว่า การได้กลิ่นเป็นผลของกรรมคือเป็นวิบาก พระพุทธองค์ทรงแสดงว่าการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น ลิ้มรส การรู้สิ่งกระทบสัมผัสทางกาย เป็นผลของกรรมในชีวิตประจำวัน ถามว่ามีใครทำให้ได้กลิ่นอันเป็นผลของกรรมที่ทำให้ได้กลิ่น ตอบว่าไม่มีครับ เพราะกรรมในอดีตของตนเองที่ทำไว้ทำให้เมื่อกรรมนั้นให้ผลก็จะทำให้ได้กลิ่นสิ่งนั้น
ทำไมบางคนได้กลิ่นหอม ทำไมบางคนได้กลิ่นเหม็น ทำไม บางคนได้กลิ่นธูป ทำไมได้กลิ่นต่างๆ กันไป แน่นอนครับว่าต้องมีเหตุคือการทำกรรม ในอดีตไว้ต่างๆ กัน เมื่อกรรมนั้นให้ผลที่เป็นวิบากคือการได้กลิ่น ก็ย่อมทำให้ได้กลิ่น ต่างๆ กันไปตามกรรมที่ทำไว้ กรรมดีเมื่อให้ผลย่อมทำให้ได้กลิ่นที่ดีกรรมไม่ดี เมื่อให้ผล ย่อมได้รับกลิ่นไม่ดี
ลูกหลานบางคนได้กลิ่น บางคนไม่ได้กลิ่นธูป ญาติบางคนได้กลิ่น บางคนไมได้กลิ่นเพราะอะไร เพราะกรรมให้ผล กับไม่ให้ผลทางจมูกครับ เพราะฉะนั้นผู้ใดได้กลิ่นอะไรก็ผลของกรรมของบุคคลนั้นให้ผลทำให้ได้กลิ่นทางจมูก ผู้ใดไม่ได้กลิ่นธูปก็แสดงว่าไม่มีผลของกรรมในอดีตที่ทำครับ สำหรับทางจมูกครับ
ขออนุโมทนา
2. การที่ได้กลิ่นธูปนั้น แสดงว่าผู้ตายมาหาใช่ไหม?
การได้กลิ่น ตามที่เรียนไว้แล้วข้างต้น ขณะที่ได้กลิ่น ขณะนั้นเป็นผลของกรรม เป็นกรรมของตัวเราเองที่ทำไว้ทำให้ได้กลิ่นนั้น ใครจะมาหาหรือไม่มาหาในความเป็น จริงก็เพียงได้กลิ่นเท่านั้น แล้วก็นึกคิดว่านี่คือกลิ่นธูปเพราะเคยจำเอาไว้ว่านี่คือกลิ่น ธูป
เพราะฉะนั้นกลิ่นธูปที่ได้กลิ่น ในความเป็นจริงที่เป็นสัจจะ ไม่ได้กำลังแสดงว่ามีใคร บุคคลใดมาหา แต่กำลังแสดงว่ามีการให้ผลของกรรมเกิดขึ้นแล้วคือมีการได้กลิ่นเกิดขึ้น
เพราะฉะนั้นควรสำเหนียกพิจารณาว่าขณะที่ได้กลิ่นคือ ธรรมมีจริงและผล ของกรรมมีจริงเพื่อความมั่นคงในเรื่องของกรรมและผลของกรรม จะได้ไม่เป็นผู้ ประมาทในการเจริญกุศลและเห็นโทษของการทำอกุศลเพราะสิ่งใดที่ทำแล้วไม่ไร้ผล หากเหตุปัจจัยพร้อมครับ
ส่วนกลิ่นสามารถเกิดจากอุตุเป็นปัจจัยได้ ความหมายคืออาศัยธรรมของสิ่งนั้นที่มี กลิ่นอยู่แล้วจึงมีกลิ่น และตามเรื่องราวที่เป็นสัตว์ บุคคลเมื่อบุคคลนั้นตายก็ไปเกิด ทันทีเป็นเปรตก็ได้ซึ่งเมื่อเขาไปเกิดเป็นเปรตสิ่งที่เขาต้องการคือการอุทิศส่วนกุศลให้ ญาติ เพราะฉะนั้นการจะทำให้ญาติรู้จึงด้วยวิธีต่างๆ คือการให้เห็น การให้ได้กลิ่นก็ได้ ครับ
เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญที่เราเป็นชาวพุทธ จะต้องเข้าใจความจริงที่พระพุทธองค์ทรงแสดงว่า การได้กลิ่นเป็นผลของกรรมที่เคยทำกรรมไว้ในอดีตที่ให้ผลเกิดขึ้นได้กลิ่นครับ
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
หลายท่านที่รู้จัก และไม่ใช่คนพูดจาเหลวไหล ท่านว่า...เคยมีประสบการณ์ทำนองนี้ กับบางคน ที่เพิ่งเสียชีวิตไปและได้นำมาเล่าสู่กันฟัง
แต่ ข้าพเจ้าไม่เคยมีประสบการณ์ตรง ในเรื่องทำนองนี้จึงไม่สามารถกล่าวอะไรได้.
แต่เชื่อว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนนั้น เป็นความจริง มีเหตุ-ผล อันควรแก่การกระทำจึง "น้อมอุทิศ" กุศลที่ได้กระทำแล้ว-ที่พอจะระลึกได้บ้างโดยมุ่งตรง ต่อบุคคล ผู้ได้เสียชีวิตไปแล้ว (เพื่อเป็นโอกาส ที่ท่านเหล่านั้น อาจจะเกิดกุศลจิตได้ ตามสมควร) เท่าที่สามารถจะกระทำได้.
กลิ่นสาบสาง เคยได้ยินมั๊ยครับ ผมมักจะได้กลิ่นสาบสาง ตอนไปงานศพ บางงาน ใน ขณะที่คนที่ไปด้วยกัน ยืนอยู่ข้างหน้าผม ไม่ได้กลิ่นอะไร ส่วนกลิ่นธูปนั้น อาจจะเคยได้ กลิ่น ไม่แน่ใจครับ นอกจากนั้่น ยังมีเสียงแว่ว ในหูอีกต่างหาก เราได้ยิน แต่เพื่อนไม่ได้ยิน ทั้งๆ ที่อยู่ห้องเดียวกัน และได้ยินนานด้วย เป็นเสียงพระสวดอภิธรรม ทำนองนั้น
กลิ่นมีจริงเป็นสภาพธรรม เสียงมีจริงเป็นสภาพธรรม การได้กลิ่นมีจริงเป็นสภาพธรรม การได้ยินมีจริงเป็นสภาพธรรม การได้กลิ่นคืออะไรตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดง การ ได้กลิ่นคือสภาพธรรมอย่างหนึ่งที่เป็นสภาพรู้ พระงอค์ทรงแสดงว่า การได้กลิ่นเป็นผล ของกรรมในอดีตที่ทำไว้ เพราะเคยทำกรรมไว้ในอดีตจึงทำให้ได้กลิ่น ทำกรรมดีไว้ ก็ได้ กลิ่นที่ดี ทำกรรมไม่ดีไว้ เมื่อกรรมให้ผลก็ได้กลิ่นที่ไม่ดีครับ ดังนั้นการได้กลิ่นเป็นผล ของกรรม ถามว่าใครทำให้ได้กลิ่น ตอบว่าไม่มีครับเพราะเป็นผลของกรรมของเราเองที่ ทำให้ได้กลิ่น
ถามว่าทำไมบางคนได้กลิ่น บางคนไม่ไ่ด้กลิ่น แน่นอนครับว่าจะต้องมีเหตุ ในเมื่อการได้กลิ่นเป็นวิบากเป็นผลของกรรม ผู้ใดกรรมให้ผล ผู้นั้นย่อมได้กลิ่น ผู้ใดกรรมไม่ให้ผลย่อมไม่ได้กลิ่นนั้นครับ ใครทำให้เราได้กลิ่น กรรมของเราเองไม่มีใคร มีแต่ธรรมครับ
เมื่อเราเข้าใจตามที่พระองค์ทรงแสดงอย่างนี้ ก็จะไม่สงสัยเลยทำไม คนนี้ได้กลิ่น คนนี้ไมไ่ด้กลิ่นเพราะแล้วแต่กรรมของใครจะให้ผลครับ เพราะเริ่มจากความเข้าใจถูกว่าการได้กลิ่นเป็นผลของกรรมที่เป็นวิบากนั่นเอง รวมทั้งการได้ยินก็โดยนัยเดียวกับการได้กลิ่นครับ เพราะการได้ยินก็เป็นผลของกรรมเช่นเดียวกับการได้กลิ่นครับ ดังนั้นวิบากที่เป็นผลของกรรมในชีวิตประจำวันจึงมีขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่นลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสครับ
ขออนุโมทนาครับ
ตอนท้ายของหัวข้อเรื่อง "พระไตรลักษณ์" บอกพระพุทธเจ้าบอกประมาณ ว่าการบอกว่ามี "เจตภูติ" (วิญญาณล่องลอย) เป็นความเห็นผิด จริงๆ เป็นอย่างไร? (โอปปาติกะ สัมภเวสีก็มีปรากฏในพระไตรปิฎก)
ท่านผู้รู้กรุณาช่วยอนุเคราะห์ตอบด้วย
เรียนความเห็นที่ 12 ครับ
ในพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงนั้นตายแล้วต้องเกิดทันทีคือจุติจิตเกิด ปฏิสนธิจิต เกิดต่อครับ จึงไม่มีวิญญาณล่องลอยรอที่เกิด ส่วนโอปปาติกะหมายถึงสัตว์ที่ผุดเกิด เป็นตัวทันที เช่น เปรตหรือเทวดา ดังนั้นหากเมื่อเป็นมนุษย์แล้วตายไปทันทีที่ตายก็เกิด ทันที หากเกิดเป็นเทวดาก็เป็นตัวทันทีเรียกว่าโอปปาติกะครับ แต่จะไม่ใช่วิญญานล่อง ลอยครับ ส่วนสัมภเวสีไมไ่ด้หมายถึงสัตว์ที่เป็นวิญญาณล่องลอย แต่ในความเป็นจริง สัมภเวสีหมายถึงสัตว์ผู้ยังจะต้องกิดอีก ดังนั้นผู้ที่ไม่ใช่สัมภเวสีคือพระอรหันต์เพราะ ท่านจะไม่ต้องเกิดอีกนอกนั้นเป็นสัมภเวสีหมดครับ
ขออนุโมทนา
มีหลายท่านบอกว่า "เด็กที่ตายโดยยังไม่ถึงอายุขัย (เช่นเด็กที่ถูกทำแท้ง) วิญญาณของเด็ก จะตามเกาะไปกับสังขารของแม่ที่ทำแท้งไปจนกว่าจะสิ้นอายุขัย" กรณีนี้เป็นอย่างไรครับ? (มีหลายท่านพูดตรงกันอย่างนี้รวมทั้งแม่ชีท่านหนึ่งด้วย)
เรียนความเห็นที่ 15 ครับ
เราไม่ต้องกล่าวถึงว่าใครพูดหรือจะมีคนพูดตรงกันมากน้อยเท่าไหร่ เพราะความจริง ไม่ไ่ด้อยู่ที่จำนวนคนที่พูดและน่าเชื่อถือครับ แต่เราพิจารณาเหตุผลและสัจจะความ จริงว่าเป็นอย่างไร สัจจะความจริงคือเมื่อใครก็ตามไม่ว่าบุคคลใด เมื่อตายแล้วจะต้อง เกิดทันที จะไม่ใช่วิญญาณล่องลอย แสวงหาที่เกิดครับแต่จะเกิดเป็นอะไรนั้นก็แล้วแต่ กรรมของคนนั้นเองที่จะให้เกิดเป็นอะไร ส่วนที่เห็นเป็นบุคคลที่ตายแล้วยังอยู่ให้เห็นก็ เพราะสัตว์นั้นไปเกิดเป็นเปรตทันที ต้องการส่วนบุญเพระาเปรต อาหารที่เขาจะได้รับ คือการอุทิศส่วนกุศลไปให้ แล้วจะทำอย่างไรให้เขารู้ได้ก็ด้วยการปรากฎให้เห็น เพื่อ บุคคลอื่นจะได้ทำบุญไปให้กับเปรตนั้นครับ แต่จะต้องเข้าใจใหม่ว่าไม่ใช่เป็นวิญญาณ ล่องลอยที่คอยตามและแสวงหาที่เกิดแต่ตายแล้วเกิดทันที ผู้ที่เกิดเป็นเปรตต้องการ ส่วนบุญจึงปรากฎให้เห็นครับ หากเป็นสัจจะความจริงก็จะเข้าใจ
ขออนุโมทนาครับ