ไม่ต้องตั้งชื่ออะไรเลย

 
pirmsombat
วันที่  19 เม.ย. 2554
หมายเลข  18232
อ่าน  1,683

ข้อความบางตอนจากการบรรยายธรรมโดยท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ท่านอาจารย์ ธรรมต้องเป็นธรรม จะเป็นใครไปไม่ได้ แม้แต่เพียงการฟังอย่างนี้ก็จะต้องพิจารณาว่า ในขณะนี้ที่เคยยึดถือว่าเป็นเราทั้งหมดนี้ คือ ธรรมแต่ละอย่าง เช่นได้ยิน ขณะที่ได้ยิน เป็นธรรมชนิดหนึ่ง เป็นสี่งที่มีจริงๆ

เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นธรรมแล้ว จะเป็นชื่อ สุดา หรือชื่อ สุจินต์ หรือจะชื่ออะไรก็ไม่ได้ เพราะว่าได้ยินเป็น สภาพที่เกิดขึ้นได้ยินเสียงแล้วก็ดับไป นี่คือความหมายของธรรม

เพราะฉะนั้นที่ว่าการเจริญวิปัสสนา คือการอบรมเจริญปัญญา เพื่อจะรู้ธรรมที่มีจริงๆ พระโสดาบันบุคคล ซึ่งถ้าพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ทรงตรัสรู้ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ว่า ทุกขณะในชีวิตเป็นอนัตตา คือไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเราไม่ใช่ตัวเราอย่างไร แต่เมื่อทรงแสดงแล้ว เรายังจะตัองฟัง แล้วก็เทียบเคียง แล้วก็พิจารณา แม้ในขั้นการฟังว่าเป็นจริงอย่างนั้นหรือเปล่า ไม่มีการข้ามขั้นเลยนะคะ

ธรรมนี้ต้องฟังโดยละเอียดก่อนที่ปัญญา ที่เป็นวิปัสสนาญาณ ที่จะถึงการเป็นโสตาปัตติมัคคจิต หรือ โสตาปัตตผผลจิต จะต้องมีปัญญาขั้นฟัง เรื่องของสี่งที่กำลังมีจริงๆ ให้เข้าใจก่อนเป็นขั้นต้น แล้วภายหลังสติปัฏฐานจึงจะระลึกตรงลักษณะของสภาพธรรมนั้น เป็นผู้ที่มีปกติ ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่กำลังเกิดขึ้นปรากฏ เพื่อที่จะได้ประจักษ์ความไม่เที่ยง คือการดับไปของสภาพธรรมนั้น เป็นวิปัสสนาญาณอย่างชัดเจน ที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อน ไม่เคยประจักษ์แจ้งมาก่อน ตามลำดับขั้น ก่อนที่จะถึงโสตาปัตติมัคคจิต และ โสตาปัตติผลจิต เพราะฉะนั้นผู้ที่อบรมเจริญปัญญานั้นเอง เป็นผู้ที่รู้ตัวโดยที่คนอื่นไม่ต้องบอก เช่น ขณะนี้ฟังเรื่องของเห็น ของได้ยิน ว่าเป็นธรรม แต่ละท่านมีความเข้าใจในขั้นนี้มากน้อยแค่ไหนคนอื่นไม่สามารถจะรู้ได้เลย

แต่คนที่กำลังฟังและกำลังพิจารณา

ว่าเป็นธรรมจริงๆ

เอาเราออก

เอาสัตว์ออก

เอานกออก

เอาแมวออก

เอาสุนัขออก

ล้วนแต่มีสภาพธรรมที่เห็นเหมือนกัน ได้ยินเหมือนกันทั้งสี้น

เพราะฉะนั้น การเห็นก็เป็นของจริงอย่างหนึ่ง การได้ยินก็เป็นของจริงอย่างหนึ่ง ไม่ต้องตั้งชื่ออะไรเลย เป็นธรรมซึ่งสาธารณะทั่วไปกับทุกคน นี่จึงจะเอาการยึดถือความเป็นตัวตน ออกจากชีวิตประจำวันทุกๆ ขณะได้


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 19 เม.ย. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณหมอ ด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
aditap
วันที่ 19 เม.ย. 2554
"ธรรมนี่ต้องฟังโดยละเอียด" ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
pirmsombat
วันที่ 19 เม.ย. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณคำปั่น และ ทุกท่าน ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 19 เม.ย. 2554

"...เพราะฉะนั้นผู้ที่อบรมเจริญปัญญานั้นเอง เป็นผู้ที่รู้ตัวโดยที่คนอื่นไม่ต้องบอกเช่นขณะนี้ฟังเรื่องของเห็น ของได้ยิน ว่าเป็นธรรมแต่ละท่านมีความเข้าใจในขั้นนี้มากน้อยแค่ไหน คนอื่นไม่สามารถจะรู้ได้เลย..."

ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
เมตตา
วันที่ 20 เม.ย. 2554

การเห็นก็เป็นของจริงอย่างหนึ่ง การได้ยินก็ก็เป็นของจริงอย่างหนึ่ง

ไม่ต้องตั้งชื่ออะไรเลย

...ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณหมอ ด้วยค่ะ...

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
orawan.c
วันที่ 20 เม.ย. 2554

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
paderm
วันที่ 20 เม.ย. 2554
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 20 เม.ย. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
pamali
วันที่ 22 เม.ย. 2554
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
รวงข้าวท้องแก่
วันที่ 23 เม.ย. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ.

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
wannee.s
วันที่ 23 เม.ย. 2554

ถ้าพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ทรงตรัสรู้ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ว่าทุกขณะในชีวิตเป็นอนัตตา คือไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเราไม่ใช่ตัวเราอย่างไร

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
สมศรี
วันที่ 25 เม.ย. 2554
ขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
bsomsuda
วันที่ 27 เม.ย. 2554

"ธรรมต้องเป็นธรรม จะเป็นใครไปไม่ได้"

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
raynu.p
วันที่ 28 พ.ค. 2554
กราบอนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
chatchai.k
วันที่ 6 ส.ค. 2567

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ