มองในแง่ธรรมดา

 
yolladda
วันที่  25 เม.ย. 2554
หมายเลข  18259
อ่าน  1,892

มองทุกสิ่งเป็นของธรรมดา เพราะสิ่งนั้นไม่ใช่ของเรา เป็นของธรรมชาติ เป็นของลวง พาให้หลง พาให้ทุกข์ได้ ดังนั้นเราจึงรู้จักพอ แค่นี้ก็มีความสุขแล้วสำหรับเรา


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 25 เม.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

มองทุกสิ่งด้วยปัญญา ด้วยความเห็นถูกว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา โดยเริ่มจากความเข้าใจว่า ธรรมคืออะไร ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่ ต้นไม้ ภูเขา สัตว์ บุคคล แต่ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ที่เป็นเพียงนามธรรมและรูปธรรมหรือ จิต เจตสิก รูป เห็นมีจริงเป็นธรรม มีลักษณะให้รู้ เสียงมีจริง เป็นธรรมมีลักษณะให้รู้ ต้นไม้ไม่มีจริง มีแต่เพียงความคิดนึกหลังจากเห็น แล้ว แต่เมื่อไปจับที่บัญญัติว่าต้นไม้ แข็งมีจริง มีลักษณะให้รู้ ต้นไม้ไม่มีจริงไม่มีลักษณะ ให้รู้ เพราะฉะนั้นสิ่งใดเป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงเพราะมีลักษณะให้รู้ครับ

สิ่งทีเป็นของลวงคือสิ่งที่ไม่ใช่สัจจะความจริง ที่สัตว์โลกหลงยึดถือว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตนเพราะด้วยความไม่รู้ อวิชชาที่สะสมมามาก

ดังนั้นการมองโลกตามความเป็นจริงด้วยปัญญา ย่อมไม่มีเรา ไม่มีใคร เข้าใจความจริงเช่นนี้จึงค่อยๆ ละควาไม่รู้ ละความเห็นผิดว่าเป็น สัตว์ บุคคล ตัวตน จึงไม่มีเราที่รู้จักพอหรือไม่รู้จักพอ มีแต่เพียงสภาพธรรมที่ปรุงแต่ง เป็นกุศล อกุศลและสภาพธรรมอื่นๆ เท่านั้นครับ เริ่มจากความเห็นถูกขั้นการฟังว่าธรรมคืออะไรและเห็นถูกในขั้นการฟังว่าไม่มีเรา มี แต่เพียงสภาพธรรม ย่อมได้ความสุขใจด้วยปัญญา แต่ถ้ายังมีความเข้าใจว่ามีเราอยู่ก็ ย่อมยังยึดถือในความเป็นเรา เป็นสัตว์ บุคคลและเมื่อสิ่งนั้นอันมีความแปรปรวนไปเป็น ธรรม เมื่อแปรปรวนไป สัตว์โลกที่เต็มไปด้วยความไม่รู้ที่ยึดถือว่ามีเรา ย่อมเดือดร้อนใน สิ่งที่แปรปรวนไปครับ เพราะฉะนั้นต้องเริ่มจากความเห็นถูกตามที่พระพุทธองค์ทรง แสดงย่อมจะถึงความสุขที่แท้จริงได้ครับ

ขออนุโมทนาครับ

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 25 เม.ย. 2554

การมองการคิดที่เป็นความจำ (สัญญาเจตสิก) กับการมองการคิดที่เป็นปัญญา (ปัญญาเจตสิก) มีความแตกต่างกัน..จำโดยไม่รู้ไม่เข้าใจเป็นการจำโดยไม่ประกอบด้วยปัญญาละกิเลสไม่ได้-เพราะไม่รู้จักสภาพธรรมะตามความเป็นจริงจึงยังเป็นเรา..เห็นของลวงว่าเป็นของจริงเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน..และไม่รู้ว่าทุกอย่างเป็นธรรมะ ขออนุโมทนาคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 25 เม.ย. 2554

ถ้ามีชีวิตอยู่ด้วยปัญญาก็มีความสุขค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 25 เม.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงสิ่งที่มีจริง ให้พุทธบริษัทได้ฟัง ได้ศึกษาเพื่อความเข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริง ซึ่งจะเห็นได้ว่าตั้งแต่เกิดจนตาย ถ้าหากว่าไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ได้ศึกษาพระธรรม ก็จะไม่มีวันเข้าใจเลยว่า ทุกขณะของชีวิตเป็นธรรม ธรรมมีจริงในชีวิตประจำวัน เมื่อไม่เข้าใจแล้ว ก็มีการยึดถือว่าเป็นตัวเรา เป็นสัตว์ เป็นบุคคล หรือ เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด พอกพูนความไม่รู้ต่อไปอีกนานแสนนาน แต่เพราะได้สะสมเหตุที่ดีมาแล้ว มีศรัทธาเห็นประโยชน์ของการอบรมเจริญปัญญา จึงได้ฟัง ได้ศึกษาพระธรรม ซึ่งเป็นความจริงที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง ทำให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้นบ้างว่า ขณะนี้ เป็นธรรม มีแต่ธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นเป็นไป ไม่พ้นจากนามธรรม และ รูปธรรม เลย ปัญญา เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นสภาพธรรมที่เข้าใจถูก เห็นถูก

การที่ปัญญาจะเจริญขึ้นได้ จะเกิดขึ้นได้ นั้น ต้องอาศัยการอบรมจากการฟัง การศึกษาพระธรรมในชีวิตประจำวัน พิจารณาไตร่ตรองในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ที่สำคัญ คือ ไม่ขาดการฟังพระธรรม เมื่อปัญญาเกิดขึ้น ก็ทำกิจหน้าที่ของปัญญา คือ เข้าใจถูก เห็นถูก เข้าใจสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ธรรมะหน้าเดียว
วันที่ 27 เม.ย. 2554

ถ้าเราเข้าใจบัญญัติ เป็นคำสมมติใช้แทนสิ่งนั้นๆ เพื่อให้เข้าใจในการสื่อเพื่อความเข้าใจ ทางโลก แต่ปรมัติไม่จำเป็นต้องใช้ชื่อต่างๆ มาเป็นอารมณ์ ให้มีสติระลึกสภาวธรรม ปรากฎตามที่เป็นจริง

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
orawan.c
วันที่ 28 เม.ย. 2554

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ไตรสรณคมน์
วันที่ 3 พ.ค. 2554

ถ้าไม่มี "ปัญญา" แล้วจะมองในแง่ธรรมดาไม่ได้เลย ปัญญาเป็นความเข้าใจที่ตกผลึก ไม่ใช่แค่คิดๆ นึกๆ นะคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ไรท์แจกแล้วไง
วันที่ 3 พ.ค. 2554

ขณะปัญญาเกิดไม่มีเราเลย

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ