สักกายทิฏฐิ ขณะนั้นมีความเห็นเกิดขึ้น ยึดถือว่าเป็นเรา
ข้อความบางตอนจากการบรรยายธรรมโดยท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ท่านอาจารย์ : เพราะฉะนั้น เรื่องของการเข้าใจผิด หรือไม่พิจารณาไตร่ตรอง แล้วก็มีความเลื่อมใสในฐานะที่ไม่ควรเลื่อมใสนั้น ก็ไม่เฉพาะในสมัยนี้ แม้ในสมัยก่อนก็มีมานานแล้ว
คุณสุพรรณี : คำว่าสักกายทิฏฐิ แปลว่าการยึดขันธ์ ๕ เป็นของตนใช่ไหมคะ ทีนี้เวลาเรานั่งเฉยๆ บางครั้งจิตเราจะนึกถึง นโมตัสสะ ... นึกๆ ไปโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ เป็นสัญญา หรือเปล่า เป็นสักกายทิฏฐิหรือเปล่า
ท่านอาจารย์ : สัญญาเจตสิกเกิดกับจิตทุกดวง
คุณสุพรรณี : ก็เป็นสักกายทิฏฐิ ชนิดหนึ่ง ใช่ไหมคะ
ท่านอาจารย์ : สัญญาเป็นเจตสิกชนิดหนึ่ง เป็นสัพพจิตสาธารณะเจตสิก เกิดกับจิตทุกดวง ส่วนมิจฉาทิฏฐิ เป็นอกุศลเจตสิก เกิดกับอกุศลจิต
คุณสุพรรณี : และที่หนูยกตัวอย่างนี้เป็น สักกายทิฏฐิ หรือเปล่า
ท่านอาจารย์ : สักกายทิฏฐิ คือ ในขณะนั้นมีความเห็นเกิดขึ้น ยึดถือว่าเป็นเรา ในขณะที่กำลังฟังพระธรรม แล้วมีความเข้าใจว่า ขณะที่กำลังเห็นเป็นธาตุรู้ ไม่ใช่ตัวตน มีความเข้าใจอย่างนี้หรือเปล่า การที่จะกล่าวว่าขณะใดเป็น สักกายทิฏฐิ หรือขณะใด ไม่ใช่ สักกายทิฏฐิ ขอให้เป็นความเข้าใจของท่านผู้ฟังเอง การที่จะเพียงไปถามใครๆ ว่าอันนี้เป็นไหม อันนั้นเป็นไหม นี้เป็นกุศลหรือนั่นอกุศล คนอื่นไม่สามารถที่จะตอบได้ เพราะว่าไม่รู้สภาวะจิต สภาพของจิตของบุคคลอื่นได้ แต่ทุกคนสามารถที่จะรู้สภาพจิตของตนได้ทุกๆ ขณะ
เพราะฉะนั้น ก็จะต้องมีหลัก คือมีความเข้าใจที่ถูกต้องว่าขณะใด เป็นสักกายทิฏฐิ และ ขณะใดไม่ใช่ สักกายทิฏฐิ เพราะว่าจิตเกิด ดับ สืบต่อกันเร็วมาก ถ้าไม่ศึกษาเรื่องของจิตโดยละเอียด ก็จะปะปนกัน เพราะว่าไม่สามารถที่จะแยกได้ ว่าจิตในขณะไหนเป็นกุศล และจิตขณะไหนเป็นอกุศล
เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นก็จะต้องทราบว่า อกุศลจิตมีกี่ประเภท และอะไรบ้าง เช่น ความเห็นผิดทั้งหมด ได้แก่ทิฏฐิเจตสิก เกิดกับเฉพาะโลภมูลจิต ในขณะที่มีความเห็น เกิดขึ้นว่าเป็น สัตว์ บุคคล ตัวตน ถ้าจะสนทนากับหลายท่านที่ยังไม่เคยฟังพระธรรมเลย ทุกท่านจะบอกว่าเป็นตัวตนแน่ๆ ตายแล้วเกิด คนนี้เป็นคนนี้ สัตว์เป็นสัตว์ แต่ตามความเป็นจริง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล แต่มีสภาพธรรมที่มีจริงๆ ซึ่งเป็นนามธรรมเป็นสภาพรู้เกิดกับรูปธรรม
ในภูมิที่มีขันธ์ ๕ นามธรรม และ รูปธรรม ก็เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป แล้วก็มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป สืบต่อกันอยู่เรื่อยๆ โดยที่ว่าไม่ใช่ ตัวตน สัตว์ บุคคล เลยจริงๆ เช่นได้ยินในขณะนี้นะคะ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยและดับไป ขณะที่ได้ยินนี้ ไม่ใช่เรา เป็นแต่เพียงจิตประเภทหนึ่ง เกิดขึ้นรู้เสียง คือ ได้ยินเท่านั้น แล้วก็ดับ จึงกล่าวว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน สิ่งใดที่เกิดขึ้น มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วสี่งนั้นก็ดับไป
เพราะฉะนั้น ก็ไม่มีสัตว์ บุคคลที่เที่ยง เหมือนอย่างผู้ที่ยังไม่เคยได้ยินได้ฟังพระธรรมเลย ก็เข้าใจว่ามีสัตว์ มีบุคคล และเที่ยง เมื่อตายก็สิ้นสภาพ เมื่อเกิดก็เป็นบุคคล หรือ สัตว์ประเภทหนึ่งประเภทใด นี่คือ ถ้าเห็นอย่างนี้ ก็เป็น สักกายทิฏฐิ
คุณสุพรรณี : แต่เมื่อกี้ที่หนูถามไม่เป็น สักกายทิฏฐิ
ท่านอาจารย์ : ฟังให้เป็นความเข้าใจของตัวเอง แล้วจะได้พิจารณาและจะสามารถรู้ได้ว่าขณะใดเป็น ขณะใดไม่เป็น เวลาเห็นดอกไม้สวยๆ ชอบไหม
คุณสุพรรณี : ชอบค่ะ
ท่านอาจารย์ : ทันทีเลยเหรือเปล่า
คุณสุพรรณี : ใช่ค่ะ
ท่านอาจารย์ : ไม่ต้องรอเลย ไม่มีควานเห็นใดๆ ทั้งสี้น เพียงแต่ชอบแล้ว ใช่ไหมคะ นั่นคือโลภมูลจิตทิฏฐิคตวิปยุต ไม่มีความเห็นใดๆ เกิดขึ้นในขณะนั้น ไม่ต้องมานั่งปุจฉาวิสัชนา
ถามกันเรื่องสักกายทิฏฐิ เรื่องความเป็นตัวตน ว่ามีตัวตน หรือไม่มีตัวตน แต่ความพอใจในสิ่งที่เห็นทางตา ทางหู ... ทางกาย ทางใจ แม้พระโสดาบันก็ยังมี เพราะว่าท่านเป็นพระอริยบุคคล ที่ยังไม่ได้ดับความยินดี พอใจในรูป ... แต่ท่านดับความเห็นผิด เป็นสมุจเฉท
เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้โดยเทียบกับ พระอริยบุคคลว่า เมื่อพระอริยบุคคลขั้นพระโสดาบันและสกทาคามี ยังมีความยินดี พอใจ ใน รูป ... ยังมีโลภมูลจิตคตทิฏฐิวิปยุต คือ ไม่มีทิฏฐิเจตสิกเกิดร่วมด้วยเพียง ๔ ดวง
แต่สำหรับปุถุชนผู้ที่ยังไม่ใช่พระอริยบุคคลนั้น มีโลภมูลจิต ๘ ดวง คือเพิ่มโลภมูลจิต ที่เกิดพร้อมกับทิฏฐิเป็น ทิฏฐิคตสัมปยุต อีก ๔ ดวง
นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้ามีการยินดี พอใจในสิ่งหนึ่งสิ่งใด โดยไม่ได้คิดถึงความเห็นใดๆ ทั้งสิ้น ในขณะนั้น ก็ไม่มีมิจฉาทิฏฐิเกิดร่วมด้วย เพราะฉะนั้น ตอบตัวเองได้ไหม ในขณะนั้น
ขออนุโมทนาท่านอาจารย์สุจินต์และคุณหมอที่นำธรรมดีๆ ให้เข้าใจว่าไม่ใช่ขณะที่เห็น เป็นสัตว์ บุคคล จะต้องเป็นสักกายทิฏฐิ
แต่ต้องเป็นขณะที่มีความเห็นเกิดขึ้น มีความเห็นว่ามีเรา มีสัตว์ บุคคล ขณะนั้นจึงเป็นสักกายทิฏฐิ
ขออนุโมทนาครับ