การตั้งบ้านตรงที่เคยมีคนนำทารกที่ตายมาทิ้ง ทำให้เราเดือดร้อนจริงไหม

 
ponglanna
วันที่  4 พ.ค. 2554
หมายเลข  18308
อ่าน  1,501

กราบเรียนท่านผู้รู้ธรรมมะทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้ อันที่ว่าตั้งบ้านเรือนตรงกับที่ทิ้งศพเด็ก

ทารก (ที่ทิ้งเด็กทารกที่ตายแล้วในสมัยก่อน) จะเป็นเหตุทำให้ครอบครัวเดือดร้อนหรือไม่

มีวิธีแก้ไขอย่างไร (มีร่างทรงเห็นเด็กขี่คอเจ้าของบ้าน และเจ้าของบ้านคนนั้นก็ไม่สบาย

เกิดจากสาเหตุนี้หรือไม่ ธรรมมะเป็นละเอียดอ่อน)


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 4 พ.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

เข้าใจคำว่าเดือดร้อนให้ถูกต้องก่อนครับ ที่เราพูดว่าเดือดร้อน ในความเป็นจริง
ขณะที่เป็นผลของกรรมที่ป็นวิบาก คือขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสนี่คือผลของกรรม และการเห็นก็มีทั้งที่เห็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี การได้ยินก็มีทั้งได้ยินสิ่งที่ดีหรือไม่ดี..การรู้สิ่งทีก่ระทบสัมผัสทางกายก็มีทั้งสิ่งที่ดีหรือไม่ดี ซึ่งเป็นเรื่องของกรรม

ของแต่ละบุคคลที่ทำมา ไม่ใช่เหตุอื่น ดังนั้นขณะที่เดือดร้อนหรือการรับสิ่งที่ไม่ดีคือ
ขณะไหน ต้องเป็นขณะเห็นสิ่งที่ไม่ดี ได้ยินสิ่งที่ไม่ดี .......รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสที่ไม่ดีและที่สำคัญที่สุด เมื่อเห็นไม่ดีแล้ว ได้ยินสิ่งที่ไม่ดีแล้ว ก็ทำให้เดือดร้อนทางใจ เป็นความไม่สบายใจบ้าง ติดข้องบ้างนั่นก็เป็นความเดือดร้อนใจ การเห็นสิ่งที่ไม่ดีการกระทบสัมผัสสิ่งที่ไม่ดีก็เหมือนกับลูกศรดอกแรก แล้วก็ทุกข์ใจ เดือดร้อนใจก็เป็นเหมือนลูกศรดอกที่สองที่แทงซ้ำที่แผลเดิม ที่อธิบายนี้เพื่อให้เข้าใจว่า ความเดือดร้อนที่เราเข้าใจกันนั้นมีทั้งเดือดร้อนทางกาย กระทบสิ่งที่ไม่ดีและที่สำคัญที่สุด เดือดร้อนทางใจที่เป็นอกุศล และการเดือดร้อนทางกายคือการได้รับสิ่งที่ไม่ดี การเห็นสิ่งที่ไม่ดีได้ยินสิ่งที่ไม่ดี นี้เป็นผลของกรรม ไม่มีใครทำให้ กรรมของตัวเองเท่านั้นที่ทำและให้ผล ส่วนการเดือดร้อนทางใจ เช่น ความไม่สบายใจ กลุ้มใจ เหล่านี้ไม่ใช่ผลของกรรมไม่ใช่วิบากแต่เป็นอกุศลที่สะสมมาของกิเลสทำให้เกิดอกุศลมีความทุกข์ใจ ไม่สบายใจ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 4 พ.ค. 2554

ดังนั้นที่กล่าวมาเพื่อให้เข้าใจว่าที่กล่าวว่าครอบครัวเดือดร้อน เดือดร้อนนั้นคืออะไร

และอะไรเป็นสาเหตุของความเดือดร้อน สาเหตุของความเดือดหรือการได้รับสิ่งที่ไม่ดี

ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย คือกรรมของเราเองที่ทำไว้ที่เป็นอกุศลกรรม เมื่อกุศลกรรมให้

ผลย่อมเดือดร้อนคือได้รับสิ่งที่ไม่ดีคือ เห็นไม่ดี ได้ยินสิ่งที่ไม่ดี เป็นต้น ส่วนความ

เดือดร้อนทางใจ สาเหตุคืออะไรไม่ใช่กรรมที่ทำไว้แต่เป็นเพราะมีอกุศล มีกิเลสอยู่ เมื่อ

ยังมีกิเลสก็ทำให้เกิดความไม่สบายใจ เดือดร้อนใจได้เพราะเห็นไม่ดี ได้ยินสิ่งที่ไม่ดี

เป็นต้นครับ

เราจะเห็นได้ว่าสาเหตุของความเดือดร้อนหรือการได้รับสิ่งที่ไม่ดีทางตา หู...กาย

เป็นเพราะกรรมที่เป็นอกุศลกรรมที่ทำมา ส่วนความเดือดร้อนใจเป็นเพราะมีกิเลสที่

สะสมมา แสดงให้เห็นว่า ไม่เกี่ยวกับสถานที่ของบ้าน ไม่เกี่ยวกับทำเลที่ตั้งของบ้าน ไม่

เกี่ยวกับมีศพเด็กเคยตาย เพราะเป็นเรื่องของกรรมของเราเองที่จะทำให้เดือดร้อนและ

กิเลสของผู้นั้นเองที่ทำให้เดือดร้อนครับ จึงต้องมั่นคงในเรื่องของกรรมและผลของ

กรรม ไม่เกี่ยวกับสถานที่ตั้งของบ้านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 4 พ.ค. 2554

ที่สำคัญที่สุด มีสถานที่ไหสถานที่ตรงไหนบ้างที่ไม่เคยมีสัตว์ตาย ทุกที่เคยมีสัตว์

ตายหมดแล้วครับ เพราะสังสารวัฏฏ์อันยาวนาน เพราะฉะนั้นทุกๆ บ้าน ทุกๆ ที่มีทั้งเด็กทารกสัตว์ทุกประเภทเคยตายมาหมดแล้วครับ แล้วความเดือดร้อนจะเกิดจากอะไร ถ้า

ไม่ใช่เพราะกรรมของเราเองและกิเลสที่สะสมมา และการที่ผู้นั้นไปดูหมอเข้าทรงแล้ว

เขาทำนายอย่างนั้น เกิดความไม่สบายใจ ขณะไม่สบายใจก็เดือดร้อนแล้ว ไม่ต้องรอ

ตอนอื่นเลย เดือดร้อนเพราะกิเลสเราเองครับที่ทำให้ไม่สบายใจ เมื่อเข้าใจอย่างนี้ ก็

ทำให้เบาด้วยปัญญา ความเข้าใจเพราะไม่มีสิ่งใดจะทำให้เดือดร้อนได้รับสิ่งที่ไม่ดี

และเดือดร้อนใจได้นอกจากกรรมและกิเลสที่สะสมมาครับ ขออนุโมทนา

[เล่มที่ 41] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้าที่ 276

สถานที่สัตว์เคยตายและไม่เคยตาย

ลำดับนั้น พระศาสดา ตรัสถามสามเณรนั้นอีกว่า "ติสสะ เธออยู่ที่ไหน?

สามเณร. อยู่ที่เงื้อมเขานี้ พระเจ้าข้า.

พระศาสดา. ก็เมื่ออยู่ในที่นั้น คิดอย่างไร?

สามเณร. ข้าพระองค์คิดว่า ' การกำหนดที่ทิ้งสรีระ อันเราผู้ตายอยู่ ทำแล้วใน

ที่นี้ ไม่มี' พระเจ้าข้า.

พระศาสดา. ตรัสว่า "ดีละ ดีละ ติสสะ, ข้อนี้ อย่างนั้น,เพราะชื่อว่าสถาน

ที่แห่งสัตว์เหล่านี้ ผู้ที่ไม่นอนตายบนแผ่นดิน ไม่มี "ดังนี้แล้ว จึงตรัสอุปสาฬหก

ชาดกในทุกนิบาตนี้ว่า :-………………..

เมื่อสัตว์ทั้งหลาย ทำการทอดทิ้งสรีระไว้เหนือแผ่นดิน ตายอยู่,สัตว์ทั้งหลาย

ชื่อว่าตายในประเทศที่ไม่เคยตาย ย่อมไม่มี ด้วยประการฉะนี้.

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ponglanna
วันที่ 4 พ.ค. 2554

ขอขอบพระคุณครับ และ ขออนุโมทนาอุทิศให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ไรท์แจกแล้วไง
วันที่ 4 พ.ค. 2554

ไม่มีที่ไหนเลยที่จะไม่มีใครตาย

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ไตรสรณคมน์
วันที่ 4 พ.ค. 2554

ดูเหมือนว่ากระทู้ของท่าน ponglanna แต่ละกระทู้เต็มไปด้วยความสงสัยในเรื่อง มงคล

ตื่นข่าวอย่างมีนัยสำคัญ ไม่ทราบว่าทำไมท่านถึงให้ความสนใจกับเรื่องพวกนี้มาก

จังค่ะ ชีวิตเป็นของน้อยไม่เสียดายเวลาบ้างหรือค่ะ

หากชีวิตคือการลงทุน การลงทุนที่คุ้มค่าก็คือการใช้เวลาเพิ่มพูนสิ่งที่มีค่าที

สุดแก่ชีวิต ซึ่งในทางพระพุทธศาสนาก็คือการอบรมเจริญ "ปัญญา" นั่นเอง เพราะจะ

ทำให้ท่านมีความเข้าใจชีวิตได้อย่างถูกต้อง การดำเนินชีวิตก็ถูกต้องไปด้วย

ขอให้มีพระธรรมเป็นที่พึ่ง หนักแน่นมั่นคงในเรื่องกรรมและผลของกรรมนะคะ ไม่เชื่อ

มงคลตื่นข่าวและไม่เสพกับสิ่งที่ไร้เหตุผล ด้วยความปรารถนาดีค่ะ

-: ขอขณะอย่าได้ล่วงเลยท่านทั้งหลายไปเสีย :-

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
wannee.s
วันที่ 4 พ.ค. 2554

ทุกทีมีแต่คนตาย ไม่ว่าที่ไหน หนีไม่พ้น ถ้าท่านทำความดี เจริญกุศล ให้ทาน รักษาศีล

ฟังธรรม ผลของกุศลนำมาซึ่งความสุข ความเจริญแน่นอน ฯลฯ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
khampan.a
วันที่ 4 พ.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น สถานที่ที่ไม่มีคนตายนั้น หาได้ยาก ในบ้านแต่ละหลังๆ นั้น ย่อมมีคนตาย และในที่สุดแล้ว แต่ละบุคคล (รวมทั้งตัวเราด้วย) ล้วนจะต้องละจากโลกนี้ไปด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใด ก็ไม่สามารถรอดพ้นจากความตายไปได้ ชาวพุทธที่แท้จริง จะต้องเป็นผู้มีความมั่นคงในเหตุในผล ซึ่งจะต้องอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง เพราะเหตุว่า พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง เป็นไปเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง สำหรับผู้ที่ได้ฟัง ได้ศึกษาิอย่างแท้จริง ไม่ใช่เป็นไปเพื่อความไ่ม่รู้ ถ้าไม่มีความมั่นคงแล้ว ใครว่าอะไร ให้ทำอะไร ก็จะทำตามไปทั้งหมด ด้วยความไม่รู้ ด้วยการที่กระทำตามๆ กันมา แต่เมื่อได้ศึกษาพระธรรม สะสมปัญญาไปตามลำดับแล้ว ก็จะทำให้มีความเข้าใจมากขึ้น มั่นคงในความเป็นจริงมากขึ้น ไม่หวั่นไหวไปตามคำพูดของผู้อื่น (ที่ไม่เกื้อกูลให้ได้เข้าใจความจริง) แต่มั่นคงในพระธรรมคำสอนที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง อีกประการหนึ่งที่ควรพิจารณา คือ ไม่มีอะไรที่จะเป็นที่พึ่งสำหรับชีวิตอย่างแท้จริง นอกจากปัญญา ความรู้ความเข้าใจสิ่งที่มีจริงเท่านั้น ถึงแม้ว่าชีวิตประจำวันอาจจะมีพ่อแม่ พี่น้อง ได้คอยช่วยเหลือในกิจการงานต่างๆ บ้าง แต่ในที่สุดแล้ว ก็จะต้องทอดทิ้งกันและกันอยู่ดี มารดาบิดาย่อมทอดทิ้งบุตร บุตรย่อมทอดทิ้งมารดาบิดาภรรยาย่อมทอดทิ้งสามี สามีย่อมทอดทิ้งภรรยา ญาติสนิทมิตรสหาย ย่อมทอดทิ้งญาติสนิทมิตรสหาย ด้วยความตายที่เกิดขึ้น ท่านเหล่านั้น ไม่สามารถติดตามไปช่วยเหลืออะไรในภพหน้าได้ แต่ความดีที่ได้สะสมไว้ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ปัญญาที่เกิดจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมในแต่ละครั้งในชีวิตประจำวัน นั้น ไม่สูญหายไปไหน สะสมสืบต่ออยู่ในจิตทุกขณะ และ จะเป็นที่พึ่งที่แท้จริงสำหรับชีวิต จนกว่าจะมีปัญญาคมกล้าสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด ไม่ต้องมีการเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ เมื่อไม่มีการเกิด ก็ไม่ต้องมีการตาย ไม่ต้องมีทุกข์ใดๆ อีกเลย ครับ. ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
panasda
วันที่ 6 พ.ค. 2554

 ไม่มีสิ่งใดจะทำให้เดือดร้อน ได้รับสิ่งที่ไม่ดีและเดือดร้อนใจได้นอกจากกรรมและ

กิเลสที่ได้สะสมมา

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 9 พ.ค. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
pamali
วันที่ 31 พ.ค. 2554
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
natre
วันที่ 8 มิ.ย. 2554
ขออนุโมทนาครับ
 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ