ไม่พึงทำความเสน่หา ในรูป
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้าที่ 476
.............................
[๘๒๙] ชื่อว่ารูป ในคำว่า ไม่พึงทำความเสน่หาในรูป คือ
มหาภูตรูป และอุปาทายรูปแห่งมหาภูตรูป ๔.
คำว่า ไม่พึงทำความเสน่หาในรูป
ความว่า ไม่ควรทำความเสน่หา
ไม่ควรทำความพอใจ
ไม่ควรทำความรัก
ไม่ควรทำความกำหนัดในรูป
คือ
ไม่ให้เกิด
ไม่ให้เกิดพร้อม
ไม่ให้บังเกิด
ไม่ให้บังเกิดเฉพาะ
เพราะฉะนั้น ชื่อว่า
ไม่พึงทำความเสน่หาในรูป.
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น รูปธรรม เป็นธรรมที่มีจริง แต่เป็นธรรมที่ไม่รู้อารมณ์ ไม่รู้อะไรๆ ทั้งสิ้น เพราะไม่ใช่สภาพรู้ รูปทั้งหมด ไม่ได้มีเจตนา ไม่ได้มีความประสงค์ที่จะให้ใครมาติดข้องยินดี (เพราะรูป ไม่ใช่นามธรรม) แต่ที่ติดข้องยินดีพอใจ นั้น เป็นเพราะโลภะ ที่แต่ละบุคคลได้สะสมมา นั่นเอง ซึ่งมีชื่อเรียกหลายชื่อ หนึ่งในนั้น คือ สิเนหา หรือ เสน่หา หมายถึง ความชอบ, ความมีเยื่อใยในสิ่งนั้นๆ โลภะ เป็นอกุศลธรรมที่มีจริง และเกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตประจำวัน ไม่สามารถที่ห้ามได้ เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เมื่อได้ประสบกับรูปที่น่าปราถนาน่าใคร่น่าพอใจ โลภะก็เกิดขึ้นติดข้องทันที เปรียบเหมือนกับต้นไม้มียาง พอถูกมีดกรีด ยางก็ไหลออกทันที
เพราะยังมีกิเลส กิเลสจึงเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่อยู่ (เกือบจะ) ตลอดเวลาในขณะที่กุศลจิตไม่เกิด ดังนั้น ต้องฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง ถึงแม้ว่าจะยังละกิเลสใดๆ ไม่ได้ แต่ก็ยังมีหนทางที่จะดำเินินไปเพื่อการดับกิเลสได้ นั่นก็คือ อาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูกไปตามลำดับ จนกว่าโลกุตตรปัญญาจะเกิดขึ้น เมื่อนั้น จึงจะสามารถดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น และความติดข้องยินดีพอใจ ในรูป เสียง กลิ่น รส และ สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย จะถูกดับได้อย่างเด็ดขาดเมื่อถึงความเป็นพระอนาคามี ซึ่งจะเห็นได้ว่า กิเลสที่มีมาก ต้องอาศัยปัญญาเท่านั้นถึงจะดับได้ ครับ. ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณหมอ มา ณ ที่นี้ด้วยครับ...
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตและขอบพระคุณคุณคำปั่นมาก มา ณ ที่นี้ด้วยครับ...
กระทู้ต่อไปผมสนใจมากที่สุดเพราะมีประโยชน์และสำคัญมากในการปฏิบัติธรรม
คุณคำปั่น กรุณาแสดงความคิดเห็นด้วยครับ
ปุถุชนส่วนมากก็พอใจในกามคุณ 5 คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ถ้าสติเกิด
เปลี่ยนจากอกุศล มาเริ่มใส่ใจ สนใจ การศึกษาธรรมะ เพราะปัญญาเท่านั้นที่
จะละความติดข้องทั้งหลาย ที่สำคัญปัญญานำไปสู่การพ้นทุกข์ดับกิเลสหมดค่ะ
"..กิเลสที่มีมาก
ต้องอาศัยปัญญาเท่านั้นถึงจะดับได้.."
ขอบพระคุณ
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณหมอ อ.คำปั่น คุณวรรณีและทุกท่านค่ะ
ธรรมมีความลึกซึ้งจริงๆ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมที่ถูกต้องก็คิดพยายามจะบังคับไม่ให้เกิดโลภะ แต่ไม่สำเร็จ ยิ่งจะเพิ่มอวิชชามากขึ้นอีก ถ้าไม่ศึกษา ฟังพระธรรมให้เข้าใจ ก็ยากที่จะดับโลภะได้ กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ