เกิดในอรูปพรหมภูมิ กรรมจะให้ผลอย่างไร
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
อรูปพรหมบุคคล คือบุคคลที่อบรมอรูปฌานกุศลจิต เมื่อฌานจิตไม่เสื่อมก่อนจุติจิตเกิด หลังจากตายแล้ว อรูปฌานวิบากจิตซึ่งเป็นผลของอรูปฌานกุศลจิต จะเกิดขึ้นทำกิจปฏิสนธิในอรูปพรหมภูมิ เป็นอรูปพรหมบุคคลตามกำลังของอรูปฌาน
อรูปาวจรวิบากจิตมี ๔ ดวง คือ
๑. อากาสานัญจายตนวิบากจิต เป็นอรูปฌานวิบากจิตดวงที่ ๑
๒. วิญญาณัญจายตนวิบากจิต เป็นอรูปฌานวิบากจิตดวงที่ ๒
๓. อากิญจัญญายตนวิบากจิต เป็นอรูปฌานวิบากจิตดวงที่ ๓
๔. เนวสัญญานาสัญญายตนวิบากจิต เป็นอรูปฌานวิบากจิตดวงที่ ๔
เมื่อ อรูปาวจรวิบากจิตดวงใดดวงหนึ่งปฏิสนธิเกิดขึ้นเป็นอรูปพรหมบุคคลในอรูปพรหมภูมิตามขั้นของอรูปฌานจิตนั้นแล้ว ก็ดำรงความเป็นอรูปพรหมบุคคลนั้นๆ จนกว่าจะจุติเมื่อสิ้นอายุของพรหมภูมินั้น
ระหว่างที่เป็นอรูปพรหมบุคคลนั้น ไม่มีรูปขันธ์ใดๆ เกิดเลย มีแต่นามขันธ์ ๔ เท่านั้น จึงเป็นอรูปพรหมบุคคล ดังนั้น จึงไม่มี จักขุปสาท (ตา) หู จมูก ลิ้น กาย จึงไม่มีวิบากทางปัญจทวารเลย ไม่มีการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้กระทบสัมผัส ที่สำคัญ แม้ ตทาลัมพนะจิตที่เป็นวิบากก็ไม่เกิดขึ้นในรูปพรหม และอรูปพรหมเช่นกัน ครับ
วิบากที่เป็นผลของกรรม ก็เป็นขณะปฏิสนธิจิต ขณะภวังคจิตและ จุติจิตครับที่เป็นอรูปฌานวิบากจิต ดวงใดดวงหนึ่ง ใน ๔ ดวง ซึ่งกรรมที่ทำไว้ในคราวเป็นมนุษย์ที่จะทำให้เกิดวิบากทาง ตาหู จมูก ลิ้น กาย เป็นต้น ก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้เพราะไม่มีรูปนั่นเอง แต่ อรูปพรหมก็ดำรงชีวิตตราบเท่าที่กรรมที่ทำให้เป็นอรูปพรหมจะหมดสิ้น
พระพุทธเจ้าก็ทรงเปรียบพรหมที่มีอายุยืนนาน ก็เหมือนลูกศรที่ซัดไป หมดกำลังเมื่อไหร่ก็ตกลงมา อรูปพรหมก็เช่นเดียวกัน มีอายุยืนนานก็จริง แต่เมื่อหมดกำลัง กรรมสิ้นสุดเมื่อไหร่ก็กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้อีก กลับมาสู่ความเป้นมนุษย์บ้างหรือในชาติอื่นๆ ก็เกิดในอบายภูมิได้ ตราบใดที่ยังไม่ใช่พระโสดาบัน ครับ
เมื่อคราวที่ท่านอุทกดาบสและอาฬารดาบส ท่านสิ้นชีวิตและไปเกิดในอรูปพรหม พระพุทธเจ้าทรงทราบ ก็ทรงตรัสว่า ท่านทั้ง ๒ พินาศแล้ว เพราะว่าในภพภูมินั้น หากยังเป็นปุถุชนอยู่ ก็ไม่สามารถอบรมปัญญาได้เลย เพราะไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่มีรูป เมื่อไม่มีตา และ หู เป็นต้น ก็ไม่ได้มีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรมจากพระพุทธเจ้า ไม่ได้มีโอกาสศึกษาพระธรรม ดังนั้นก็ไม่สามารถรู้ความจริงที่พระองค์ทรงแสดงได้เลยครับ ไม่มีรูปธรรมที่ให้รู้ความจริงได้ครับ
เมื่อคราวที่ท่านกาฬเทวิลดาบส ผู้เป็น ดาบสที่พระเจ้าสุทโธทนะ พระราชบิดาของพระโพธิสัตว์ ที่ครั้งเมื่อพระโพธิสัตว์ยังเล็ก พระราชาต้องการให้พระโพธิสัตว์ไหว้ดาบส แต่กลับเป็นพระโพธิสัตว์ไปยืนอยู่เหนือหัวของกาฬเทวิลดาบส และเมื่อกาฬเทวิลดาบส ตรวจดูลักษณะและท่านเห็นอนาคต ท่านก็รู้ว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้า ท่านก็หัวเราะ ดีใจ แต่เมื่อระลึกถึงว่าตนเองจะได้พบพระพุทธเจ้าหรือไม่ ก็รู้ว่าตัวเองจะต้องตายและไปเกิดในอรูปพรหมภูมิที่พระพุทธเจ้าหลายแสนพระองค์ก็ไม่สามารถโปรดได้ ท่านก็ร้องไห้ครับ
จะเห็นไหมครับว่า หากเราเห็นคุณค่าเมื่อได้เกิดในโลกนี้ ได้เกิดเป็นมนุษย์ ได้พบศาสนาของพระพุทธเจ้าและที่สำคัญ มีตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ มีรูป คือ ตา และ หู เป็นต้น ที่สามารถศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมได้ สามารถอบรมปัญญาได้ ต่างจากอรูปพรหมที่ไม่มีรูป ไม่มี ตา ไม่มี หู เป็นต้น ก็ไม่สามารถอบรมปัญญาได้เลย ที่สำคัญที่สุด แม้จะอายุุยืนยาวเท่าไหร่ ก็ไม่เที่ยงเลย ต้องกลับมาวนเวียนเป็นกำเนิดต่างๆ อย่างนี้ ผู้ที่ศึกษาธรรม จึงควรเห็นประโยชน์ว่าได้พบพระธรรมและ มีตา มีหู มีรูปแล้ว ควรเห็นประโยชน์คือการศึกษาพระธรรม เพราะเราไม่รู้เลยว่าต่อไปชาติไหนจะได้พบพระธรรมหรือไม่ จะได้เกิดเป็นมนุษย์หรือไม่ หรืออาจจะตาบอด หูหนวกก็ได้ ขณะนี้เป็นขณะที่ประเสริฐที่สามารถอบรมปัญญาได้ครับ อย่าปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไป เพราะอาจต้องเดือดร้อนใจในภายหลังครับ เมื่อเกิดเป็นมนุษย์มีตา มี หู มี มือ มีเท้า ควรใช้รูปเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์คือ การฟังพระธรรม การอ่านพระธรรม การใช้มือในการทำกุศล มีการให้ทานและช่วยเหลือผู้อื่น เป็นต้นครับ
ขออนุโมทนาครับ
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ธรรม เป็นเรื่องที่ละเอียด และค่อยๆ ไตร่ตรองในเหตุในผล เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริง ไม่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ผู้ที่เกิดเป็นอรูปพรหมบุคคล (พรหมที่ไม่มีรูป มีแต่นามธรรม คือ จิต และ เจตสิก เท่านั้น) ไม่มีรูปธรรมใดๆ เกิดขึ้นเลย แต่ก็มีจิต และ เจตสิกเกิดขึ้นเป็นไป อาศัยกันและกันเกิดขึ้น และ จิตที่ทำกิจปฏิสนธิในอรูปพรหมภูมิ คือ อรูปาวจารวิบาก เมื่อทำกิจปฏิสนธิ ก็ทำกิจภวังค์ รักษาภาพชาติความเป็นพรมหบุคคลนั้นไว้ จนกว่าจะจุติ สิ้นสุดจากความเป็นอรูปพรหมบุคคล เพราะฉะนั้น การรับผลของกรรมของอรูปพรหมบุคคล จึงไม่เกี่ยวข้องกับทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เพราะไม่มีรูปธรรมเกิดขึ้น (แม้ทางใจก็ไม่มี) แต่ก็มีขณะที่เป็นผลของกรรม คือ ขณะที่ปฏิสนธิ ขณะที่เป็นภวังค์ และขณะที่จุติ ซึ่งเป็นจิตที่เกิดขึ้นโดยไม่อาศัยทวารใดๆ ใน ๖ ทวารเลย เรื่องภพภูมิอื่น ไม่ว่าจะเป็นรูปพรหมภูมิ หรือ อรูปพรหมภูมิ เป็นเรื่องที่ไกลตัวแต่ขณะนี้ ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มีสภาพธรรม คือ จิต เจตสิก รูป เกิดขึ้นเป็นไปควรอย่างยิ่งที่จะศึกษาให้เข้าใจสภาพธรรมเหล่านี้ ตามความเป็นจริง เพราะจิต เจตสิกและรูป ไม่ได้อยู่ในตำรา แต่มีจริงทุกขณะ ซึ่งจะต้องอาศัยการฟัง การศึกษา สะสมปัญญาไปตามลำดับ ธรรม เป็นเรื่องที่เข้าใจยาก แต่ไม่เหลือวิสัยสำหรับผู้ที่ตั้งใจศึกษา เพื่อความเข้าใจจริงๆ เพราะสิ่งที่สามารถรู้ได้ สามารถเข้าใจได้ ก็คือสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏในขณะนี้ นั่นเอง ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
อาจจะเข้าใจข้อความสั้นๆ ได้ง่าย อรูปพรหมเป็นพรหมที่ไม่มีรูป อายตนะทั้ง ๑๐ ก็เกิดไม่ได้ เป็นพรหมที่มีแต่จิต วิปากจิตส่งผลได้ที่มโนทวาร คือ มนายตนะ กับ ธัมมายตนะ
อรูปพรหมภูมิ ไม่มีโทสะ แต่ยังมีโลภะที่ยินดีในภพ แต่ไม่มีโลภะที่เป็นไปในกามค่ะ ท่านมีแต่นามธรรม ไม่มีรูปธรรม เวลากรรมจะให้ผล ให้ผลเป็นนามธรรม คือ วิบาก คือ ขณะที่ปฏิสนธิ ขณะที่เป็นภวังค์ และ ขณะที่จุติ ค่ะ
ขอความรู้แบบคนที่ไม่มีพื้นฐานอะไรเลยนะครับ ว่า แล้วอรูปพรหมภูมินี่มีสถานที่อยู่ในที่ใดที่หนึ่ง อย่างที่ภาษาทางวิทยาศาสตร์เรียกว่า กินเนื้อที่ กินเวลา อย่างนั้นหรือเปล่า หมายความว่า อรูปพรหมภูมินี้ขณะนี้มีอยู่แล้ว ณ สถานที่แห่งใดแห่งหนึ่ง เหมือนดวงอาทิตย์มีอยู่แล้ว ณ ที่แห่งหนึ่ง ดวงจันทร์ ดวงดาวต่างๆ ก็มีอยู่แล้วในเวลานี้ ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่งอะไรทำนองนั้น
หรือว่า อรูปพรหมภูมินี้เป็นเพียงนามธรรมชนิดหนึ่ง คือเป็นเพียงคุณภาพของจิตชนิดหนึ่ง ใครบำเพ็ญจิตภาวนาทำจิตให้มีคุณภาพถึงระดับนั้น ก็คืออยู่ในอรูปพรหมภูมิแล้ว โดยที่ร่างกายก็ยังอยูในมนุษยภูมินี่แหละ อย่างนี้หรือเปล่าครับ
หรือว่าจริงๆ แล้วเป็นอย่างไรกันแน่ ขอบพระคุณที่จะกรุณาชี้แนะครับ
ผมมีความคิดเห็นอย่างนาวาเอกทองย้อยครับหวังว่าจะมีผู้กรุณาชี้แนะ
ขออนุโมทนาครับ