ความทุกข์ที่เกิดจากการทำงานในออฟฟิซ

 
pmods
วันที่  15 ส.ค. 2549
หมายเลข  1848
อ่าน  3,386

มีวิธีขจัดความทุกข์ที่ได้จากการปฏิบัติงานในชีวิตประจำงานอย่างไร เมื่อรู้สึกว่า

ไม่มีความสุขหรือรู้สึกว่าไม่ใช่สิ่งที่อยากทำ ซึ่งในความจริงควรรู้สึกว่าการทำงาน คือ

การปฏิบัติธรรมมากกว่าที่จะรู้สึกอย่างข้างต้น


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
study
วันที่ 15 ส.ค. 2549

การทำงานเพื่อแสวงหาเงินทอง อันจะนำมาซึ่งปัจจัยในการดำรงชีวิตของเราและ

บุคคลที่เราต้องรับผิดชอบ คือ เป็นหน้าที่อย่างหนึ่งที่ต้องกระทำ ถ้าเราไม่ทำเท่ากับ

เป็นการบกพร่องต่อหน้าที่ ของมารดาบิดา หรือหน้าที่ของบุตรธิดา หรือหน้าที่ของ

ประชากร ของชุมชนนั้นๆ เป็นต้น จริงๆ แล้วการทำงานกับไม่ทำงาน โดยปรมัตถธรรม

ก็เหมือนกัน คือ ทางตาเห็น ทางหูได้ยิน ทางจมูกได้กลิ่น ทางลิ้นรู้รส ทางกายกระทบ

สัมผัส ทางใจคิดนึก ถ้าทำด้วยคิดว่าเป็นสิ่งจำเป็นในการเกิดมาเป็นมนุษย์ ที่จะต้อง

สะสมอบรมบารมีเพื่อการดับกิเลสพ้นจากวัฏฏะทุกข์นี้ ก็จะไม่เบื่อในการปฏิบัติหน้าที่

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chorswas.n
วันที่ 16 ส.ค. 2549

สวัสดีค่ะ อ่านดูแล้วดิฉันคิดว่าคุณไม่ใช่ไม่อยากทำงาน เพียงแต่ตัวงานที่กำลัง

ทำอาจไม่ถูกกับอัธยาศัย เช่น บางคนไม่ชอบพูดคุย ก็คงไม่เหมาะกับงานที่เกี่ยวกับ

การขาย งานบริการ เป็นต้น ลองสำรวจตัวเองนะคะว่าชอบอะไร แล้วมองหาดูตาม

หน้าเสนองานใน น.ส.พ เป็นต้นค่ะ วันหนึ่งก็อาจพบ เจอสิ่งที่เป็นเรื่องเหมาะกับตน

พยายามอย่าไปติดยึดกับเงินที่เสนอให้เรามากๆ โดยไม่คำนึงถึงความเหมาะสม หรือ

เรื่องศีลธรรมของงานนั้นๆ ดิฉันเองเคยทำงานหนึ่งตั้งแต่เรียนจบมหาวิทยาลัย เป็น

งานที่ต้องเดินทางตลอดเวลา เมื่อลูกชายดิฉันเข้าโรงเรียนดิฉันลาออกจากงานทันที

เพื่อดูแลลูกให้ได้เต็มที่ ดิฉันทำงานนั้นเป็นเวลา ๑๕ ปีค่ะหลายๆ คนบ่นเสียดายแทน

ดิฉันแต่คุณคะการได้เงินมากๆ ไม่ได้ตอบสนองการเจริญกุศลในชีวิตเลยค่ะ ดิฉันออก

จากงานมา ๑๓ ปี แล้วดิฉันยังทำหน้าที่สนองคุณบิดามารดาเหมือนเดิม และได้มี

อกาสศึกษาพระธรรมได้ทำหน้าที่แม่ของลูกเต็มที่ค่ะ โอกาสนี้ขอให้คุณค้นพบทักษะ

ของตน และพร้อมกันนั้นก็ได้งานที่ถูกอัธยาศัยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Sam
วันที่ 16 ส.ค. 2549

อนุโมทนาคำตอบของมูลนิธิฯ ครับ เป็นประโยชน์สำหรับผมมาก

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
pmods
วันที่ 16 ส.ค. 2549
ขอบพระคุณทุกๆ ท่านที่ให้คำแนะนำค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
narong
วันที่ 16 ส.ค. 2549

งานที่ทำอยู่ ชอบหรือไม่ก็คงไม่สามารถจะไปล่วงรู้จิตใจของท่านได้ แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ท่านได้ทำงานที่ชอบ ก็ไม่ได้หมายความว่า ท่านจะไม่มีทุกข์ในงานนั้นตราบใดที่ยังมี "ตัวเรา"อยู่ ดังนั้นการศึกษาธรรมะเพื่อให้เข้าใจความจริง (ปรมัตถสัจจะ) แทนการอยู่ในโลกของสมมติสัจจะ อย่างเดียว จะช่วยให้ละคลายความเห็นผิด ทุกข-เวทนาก็เบาบางลงได้

สิ่งที่มีจริง มีเพียง ๒ อย่าง คือ รูปธรรมและนามธรรม และหากรู้ว่า ทั้งสองสิ่งนี้เกิดขึ้นและดับไป ทุกขณะและไม่กลับมาอีกเลย ทำให้เราอยู่กับปัจจุบัน และเข้าใจเรื่องราวในชีวิตประจำวันว่า เป็นความจริงที่สมมติเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งที่มีจริงที่พระพุทธ-องค์ตรัสรู้ ซึ่งไม่ต้องเรียกชื่อ สิ่งนั้นก็มีอยู่จริง เช่น การเห็น ไม่ต้องเรียก ก็มีเห็น และจะต้องมีความเข้าใจด้วยว่า การเห็น เป็น สภาพธรรม ที่เกิดขึ้นและดับไปทุกขณะ ไม่ใช่"เราที่เห็น" เป็นต้น ทุกอย่างเป็นธรรมะ ไม่มีตัวตน สัตว์ บุคคล (สัพเพ ธัมมา อนัตตา)

ขอให้ท่านศึกษาพระธรรมนะครับ และท่านจะได้คำตอบของชีวิต อย่าเป็นเพียงพุทธศาสนิกชนโดยทะเบียนบ้านเลยครับท่าน

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
saowanee.n
วันที่ 19 ส.ค. 2549

โดยมากเรามักจะโทษสภาพแวดล้อม หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใด (เช่น อาชีพการงาน)

ว่าทำให้เราทุกข์ แต่ลืมพิจารณาไปว่า เหตุที่ทุกข์ใจนั้นเพราะกิเลสของเราเองเพราะ

ปรารถนาที่จะได้วิบากที่ดีๆ แต่ขอเรียนให้ทราบว่า นอกจากพระอรหันต์แล้ว ไม่มี

ใครสามารถเอาชนะวิบากกรรมได้เลย ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน จะทำอะไร เพราะฉะนั้น การ

ศึกษา พระธรรมจึงเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เข้าใจชีวิตได้อย่างถูกต้อง และความ

ทุกข์ใจก็จะเบาบางลงไปตามลำดับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 14 ก.ย. 2550

เลือกไม่ได้ อยู่ที่ไหน และตราบใดที่ยังมีกิเลส

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ